xs
xsm
sm
md
lg

จับตาเขมรในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจสู่คณะผู้นำรุ่นถัดไป : เมื่อ ‘ฮุน มาเนต’ ขึ้นเป็นนายกฯ กัมพูชาแล้วจะมีอะไรแตกต่างไปจากคุณพ่อ ‘ฮุนเซน’?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เดวิด ฮุตต์ ***


พล.อ.ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตของนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน ถือธงพรรค CPP ที่เพิ่งได้รับมอบจากบิดา ขณะเข้าร่วมการชุมนุมปราศรัยหาเสียงนัดแรกของพรรค ณ กรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา เริ่มต้นศึกเลือกตั้งทั่วไปซึ่งจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 23 ก.ค. ซึ่งคาดหมายกันทั่วไปว่า CPP จะชนะได้อย่างสบาย โดยเฉพาะเมื่อมีการสกัดดาวรุ่งกำจัดพรรคฝ่ายค้านสำคัญไปแล้ว แล้วจากนั้นอีกไม่กี่วัน ฮุน มาเนต จะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาสืบแทนบิดา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

How Hun Manet will differ from his father
By DAVID HUTT
19/07/2023

ฮุน มาเนต ผู้กำลังจะก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีกัมพูชาในเร็ววันนี้ จะเสาะแสวงหาความชอบธรรมและความเหมาะควรแก่การดำรงตำแหน่งของเขา โดยอาศัยความรู้ความสามารถแทนที่การสร้างมายาภาพ ในท่ามกลางการผลัดใบเปลี่ยนคณะผู้นำภายในพรรค CPP ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเขมรมาอย่างยาวนาน ไปสู่คนอีกเจเนอเรชันหนึ่ง

ณ การชุมนุมมวลชนเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ขณะที่การรณรงค์หาเสียงเปิดฉากขึ้นสำหรับการเลือกตั้งทั่วไปซึ่งกำหนดจัดขึ้นในกัมพูชาวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคมนี้ นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ได้ทำพิธีในเชิงสัญลักษณ์ ด้วยการส่งมอบธงของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) ซึ่งเป็นพรรคผู้ปกครองประเทศมาอย่างยาวนานจวบจนกระทั่งถึงเวลานี้ ให้แก่ ฮุน มาเนต บุตรชายคนหัวปีของเขา [1] ผู้ซึ่งเป็นที่คาดหมายกันโดยทั่วไปว่าจะก้าวขึ้นรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายบริหารประเทศสืบต่อจากเขาในเร็ววัน

ขณะที่พระบาทสมเด็จพระนโรดมสีหนุ เป็นที่จดจำกันในฐานะที่ทรงเป็น “พระบิดาที่ทรงเป็นกษัตริย์” (King Father) ของกัมพูชานั้น เป็นที่เข้าใจกันว่า ฮุนเซน น่าจะต้องการให้เป็นที่จดจำกันในเวลาต่อไปในลักษณะทำนองว่า เขาเป็น “บิดาที่เป็นนายกรัฐมนตรี” (Prime Minister Father) ของประเทศ

สิ่งที่การสร้างมายาภาพของ ฮุนเซน พยายามกระทำอยู่ก็คือว่า เขาเป็นบุคคลผู้ซึ่งนำเอาสันติภาพและเสถียรภาพมาสู่กัมพูชาในท้ายที่สุด [2] ด้วยการยุติสงครามกลางเมืองของประเทศนี้ที่ดำเนินมานานถึง 30 ปีในช่วงทศวรรษ 1990 นอกจากนั้น เขายังเป็นผู้นำเอาความเจริญรุ่งเรืองในระดับหนึ่งมาสู่กัมพูชา –ซึ่งมีสภาพเป็นรัฐที่อดอยากขาดแคลนเมื่อตอนที่เขาขึ้นครองอำนาจ

ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเฉลี่ยต่อหัวประชากร (GDP per capita) ของกัมพูชา เพิ่มสูงขึ้นจากระดับ 247 ดอลลาร์สหรัฐในปี 1993 มาเป็น 1,625 ดอลลาร์ในปี 2021 [3] นอกจากนั้นแล้ว เขายังเป็นผู้พิทักษ์ปกป้องอธิปไตยของกัมพูชาอีกด้วย

ฮุนเซน ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปี 1985 มีส่วนรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหนสำหรับการพัฒนาที่เกิดขึ้นมาเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ยังคงมีการถกเถียงอภิปรายกันอยู่ ทว่ากัมพูชานั้นได้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นชนิดไม่มีวันหวนกลับอย่างแน่นอน ในช่วงระหว่างการปกครองประเทศของเขา

ปัญหาสำหรับ ฮุน มาเนต ผู้ปัจจุบันมีอายุ 45 ปี ก็คือว่า เขาไม่สามารถกล่าวอ้างความดีความชอบจากสิ่งที่กล่าวมาเหล่านี้ได้เลยไม่ว่าในเรื่องไหน เขาจะก้าวขึ้นสู่อำนาจโดยรับมอบประเทศชาติซึ่งมีสันติภาพ และเศรษฐกิจก็มีเสถียรภาพเรียบร้อยแล้ว [4]

เขาไม่สามารถที่จะกลายเป็นเรื่องเล่าประเภทเริ่มต้นจากเด็กยากจนข้นแค้นแล้วสร้างเนื้อสร้างตัวจนขึ้นเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีได้ ตรงกันข้าม เขามีฐานะเป็นลูกท่านหลานเธอผู้ทรงอภิสิทธิ์ซึ่งได้รับการศึกษาราคาแพงลิบลิ่วในโลกตะวันตก [5] แล้วจากนั้นก็ “กระโดดร่ม” แทรกตัวเข้ามาในกองทัพ [6] และในพรรคการเมืองที่เป็นปกครองประเทศ

มีสมาชิกของพรรค CPP บางคนมองว่า เขาเป็นคนที่พรรคถูกบีบบังคับให้ต้องรับเข้ามาเพื่อเป็นผู้เข้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไปของตน [7]

ข้อดีเด่นของ ฮุนเซน มาจากการทุ่มเทสู้งานหนักและความเสียสละของเขา อย่างที่มายาภาพของเขาพยายามสร้างให้เห็นว่า เขาเป็น “เด็กวัด” [8] ยากไร้ที่ก้าวขึ้นมาจนถึงจุดสูงสุด ขณะที่มีหลักฐานน้อยกว่านักหนาในเรื่องที่ว่า ฮุน มาเนต ได้เสียสละอะไรมาบ้างเพื่อประเทศชาติ

นอกจากนั้น นายกรัฐมนตรีคนต่อไปของกัมพูชาผู้นี้ยังไม่สามารถอวดอ้างว่าตนเองเป็น “คนติดดิน” ด้วย ซึ่งนี่บางทีจะเป็นเหตุผลที่อธิบายว่าทำไมเขาจึงกำลังลงสมัครแข่งขันเป็นสมาชิกรัฐสภาในเขตกรุงพนมเปญ [9] ไม่ใช่ในเขตชนบทที่ถือเป็นหัวใจของพรรค CPP

นายกรัฐมนตรีฮุนเซน ของกัมพูชา ถือเป็นหนึ่งในผู้นำประเทศซึ่งครองตำแหน่งมาอย่างยาวนานที่สุดในโลกเวลานี้ สำหรับภาพนี้ เขากำลังกล่าวปราศรัยที่กรุงพนมเปญ ในพิธีวางศิลาฤกษ์โครงการก่อสร้างทางด่วนเชื่อมระหว่างเมืองหลวงพนมเปญ กับเมืองบาเวต ในจังหวัดสวายเรียง ตรงชายแดนติดต่อกับเวียดนาม เมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2023
มีการลงแรงใช้ความพยายามกันอย่างมากทีเดียวที่จะสร้างภาพลักษณ์ของ ฮุน มาเนต ให้เป็นที่จับใจประชาชนทั่วไป เป็นต้นว่า การผลิตหนังสือชีวประวัติเน้นย้ำแต่งแต้มคุณวิเศษของเขาออกมาหลายต่อหลายเล่ม เป็นต้นว่า เรื่อง “Hun Manet: The First Son of Prime Minister On The Way to Succeed His Father” (ฮุน มาเนต : บุตรชายคนหัวปีของนายกรัฐมนตรีบนเส้นทางแห่งการสืบทอดต่อจากบิดาของเขา) เขียนโดย ชาย สุพอล (Chhay Sophal) ผู้ช่วยรัฐมนตรี (secretary of state) กระทรวงสารสนเทศ ที่ตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 2022

ฮุน มาเนต บอกว่า เขาจะแจกหนังสือเล่มนี้ฟรีๆ เป็นจำนวน 10,000 เล่ม [10] นอกจากเล่มนี้แล้ว ยังมีหนังสือเรื่อง “Influential Eldest Son” (บุตรชายหัวปีผู้ทรงอิทธิพล) อีกเล่มหนึ่งที่เนื้อหายกย่องสรรเสริญกันอย่างฟูมฟายเวิ่นเวอร์เช่นกัน โดยตีพิมพ์เผยแพร่ออกมาในปี 2022 เหมือนกัน [11]

อย่างที่ชื่อของหนังสือเหล่านี้บ่งชี้ให้เห็น ในทันทีที่ ฮุน มาเนต ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เขาจะต้องพึ่งพาอาศัยภาพลักษณ์บิดาของเขาเป็นอย่างมาก ปัจจัยแห่งความชอบธรรมข้อสำคัญที่สุดของเขาจะเป็นเรื่องที่ว่าเขาคือทายาทผู้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากบิดาของเขานั่นเอง

เรื่องนี้จะทำให้เป็นเรื่องลำบากที่ ฮุนเซน จะทำตัวโลว์โปรไฟล์ภายหลังอำลาตำแหน่งนายกฯ เป็นที่คาดหมายกันว่าเขาจะยังคงอยู่หลังฉากโดยที่รักษาอำนาจเอาไว้อย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อเขายังคงมีตำแหน่งเป็นประธานของพรรค CPP อยู่ [12] ทว่าในทางกลับกัน ยิ่งเขายังคงปรากฏตัวยืดเยื้อออกไปนานเท่าใด มันก็ย่อมกลายเป็นเครื่องกีดขวางการสร้างภาพมายาของตัว ฮุน มาเนต เองนานเท่านั้น

อย่างไรก็ดี ในอีกด้านหนึ่งเวลานี้เรายังสามารถมองเห็นได้ด้วยว่า กำลังมีการสร้างเรื่องเล่าแวดล้อมรอบๆ ตัว ฮุน มาเนต ในลักษณะที่ไม่เน้นการสืบทอดอำนาจจากพ่อสู่ลูกในแบบราชวงศ์ แต่มุ่งเสนอภาพลักษณ์ของเขาให้แก่มวลชนในแบบของพี่ชาย ไม่ใช่บทบาทของพ่ออย่างที่ ฮุนเซน เล่นอยู่ ทั้งนี้ คำปราศรัยครั้งต่างๆ ของเขาก็อยู่ในลักษณะเทศนาแบบพ่อสั่งสอนลูกน้อยกว่า

ปัจจุบัน เขามีผู้ติดตามทางเฟซบุ๊กมากที่สุดยิ่งกว่าเจ้าหน้าที่คนไหนๆ ของพรรค CPP ยกเว้นบิดาของเขาเท่านั้น [13] นี่เป็นวิถีทางสำคัญทางหนึ่งที่เขาใช้ในการสื่อสารโดยตรงกับมวลชน โดยไม่ต้องอาศัยพวกโฆษกของพรรค ตลอดจนพวกเจ้าหน้าที่กระทรวงแถลงข่าว

ฮุน มาเนต ดำรงตำแหน่งประธานฝ่ายเยาวชนของพรรค CPP มาตั้งแต่ปี 2020 [14] ขณะที่บุคลิกซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “คนดีมีความเมตตากรุณา” ของเขา ที่สำคัญแล้วเนื่องมาจากการที่เขาเป็นประธานของมูลนิธิซึ่งเกี่ยวเนื่องผูกพันกับพรรค CPP หลายต่อหลายแห่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมแพทย์เยาวชนอาสาสมัครสมเด็จเตโช (Samdech Techo Voluntary Youth Doctor Association) ซึ่งมีโอกาสแสดงบทบาทสำคัญทีเดียวในการรณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันอย่างประสบความสำเร็จ [15] ในกัมพูชา ช่วงที่เกิดโรคระบาดใหญ่โควิด-19

ตั้งแต่ปี 2019 เป็นต้นมา เขายังเข้ารับหน้าที่ความรับผิดชอบงานประจำวันบางส่วนจากบิดาของเขา เป็นต้นว่า การเป็นประธานเปิดโรงเรียน โรงพยาบาล ตลอดจนวัดวาอารามแห่งใหม่ๆ งานเหล่านี้ทำให้เขาดูเป็นคนใจบุญสุนทาน ซึ่งแท้ที่จริงมาจากระบบสวัสดิการของกัมพูชาที่ได้รับงบประมาณจากเงินภาษีอากร

ยังมีความพยายามที่จะป่าวร้องความองอาจกล้าหาญทางด้านการทหารของเขาอีกด้วย ถึงแม้เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันได้มากว่าแท้จริงแล้วเขามีบทบาทสำคัญแค่ไหน เป็นต้นว่าในช่วงที่เกิดความตึงเครียดเลวร้ายระหว่างกัมพูชา-ไทยเมื่อปี 2008

ฮุน มาเนต ยังจะต้องสร้างเครดิตความเชื่อถือให้แก่ตนเองบนเวทีระดับโลก ถึงแม้เขาจะเก็บตุนเอาไว้ได้บ้างแล้วระหว่างที่เป็นผู้บังคับบัญชาทหารระดับสูง ซึ่งตำแหน่งสุดท้ายก็คือผู้บัญชาการทหารบกของกัมพูชา ตำแหน่งเหล่านี้ทำให้เขามีโอกาสเดินทางอย่างกว้างขวาง เขาได้พบปะหารือกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนอย่างน้อยที่สุด 2 ครั้งในกรุงปักกิ่ง [16] ฮุนเซนนั้นไม่เคยมีท่าทางสบายอกสบายใจเลยเมื่อต้องจากบ้านไปไหนไกลๆ ทว่า ฮุน มาเนต ผู้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว ควรที่จะมีท่าทางเป็นธรรมชาติมากกว่าในเวลาปรากฏตัวบนเวทีโลก

เขายังได้รับมอบหมายภารกิจในการโน้มน้าวหันเหความคิดจิตใจของพวกลูกหลานชาวกัมพูชาที่อพยพไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย และขึ้นชื่อลือชาในเรื่องต่อต้านพรรค CPP

ยังจะต้องเฝ้าติดตามกันต่อไปว่าคณะรัฐบาลของ ฮุน มาเนต จะมีปฏิสัมพันธ์ในทางปรองดองกับฝ่ายตะวันตกหรือไม่ ถึงแม้พนมเปญอ้างว่าตนพยายามทำเรื่องนี้มานานปีแล้ว

ฮุน มาเนต เรียนจบจากโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ ในสหรัฐฯ และรับราชการเป็นทหารเรื่อยมา จนกระทั่งติดยศพลเอก และได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการทหารบก ควบกับรองผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพกัมพูชาในปี 2018 ขณะที่ในทางการเมือง คณะกรรมการกลางพรรค CPP อนุมัติรับรองเมื่อปลายปี 2021 ให้เขาเป็นผู้เข้าแข่งขันตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในอนาคตของพรรค และในเดือนเมษายนปีนี้ ฮุน มาเนต ได้ก้าวออกจากกองทัพเป็นการชั่วคราว เพื่อให้มีคุณสมบัติสามารถลงสมัครเป็นสมาชิกรัฐสภาของกัมพูชาได้ในการเลือกตั้งทั่วไปวันที่ 23 กรกฎาคมนี้ สำหรับภาพนี้ถ่ายเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2017 ขณะที่เขายังมียศเป็นพลโท
เมื่อเร็วๆ นี้เอง เขาไปเป็นแขกเกียรติยศ [17] ณ งานเลี้ยงดินเนอร์การกุศลของหอการค้าอเมริกันในกรุงพนมเปญ ซึ่งเป็นงานชนิดที่บิดาของเขาในวันนี้จะไม่มีวันไปเข้าร่วมอย่างแน่นอน

ฮุน มาเนต จะต้องพยายามอ้างความชอบธรรมของเขาโดยอาศัยความรู้ความสามารถ คณะรัฐบาลของเขาจะต้องทำงานในด้านการปรับแต่งนโยบายต่างๆ ที่เป็นมรดกตกทอดมาจากคนเจเนอเรชันก่อน --นั่นคือจาก “คนรุ่นผู้ก่อตั้ง” พรรค CPP และราชอาณาจักรกัมพูชา-- ให้มีความสมบูรณ์และชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยที่พวกลูกๆ ของเหล่าคุณปู่รุ่นผู้ก่อตั้งพรรคคนอื่นๆ ก็มีกำหนดการที่จะก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งสำคัญๆ เคียงข้าง ฮุน มาเนต ในคราวนี้ด้วย โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของ “การสืบทอดอำนาจไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง” [18]

ในบรรยากาศเช่นนี้ เขาย่อมไม่สามารถเกี่ยวข้องกับการเสนอนโยบายที่แหลมคมและพลิกผันเกินคาดหมายใดๆ ออกมา หากแต่จะต้องหาทางทำให้เกิดการตัดสินใจในแบบฉันทมติในคณะรัฐมนตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อระบบราชการและพวกหน่วยงานประชาสังคมต่างจะยังไม่ไว้วางใจในสัญชาตญาณของเขา

ขณะที่ ฮุนเซน สามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงนโยบายรัฐบาลเมื่อใดก็ได้ แต่ ฮุน มาเนต จะไม่อาจใช้ท่าทีบงการจากเบื้องสูงได้เลย พวกข้าราชการจะกลายเป็นพวกที่กล้าพึ่งตนเองมากขึ้น ส่วนเหล่ารัฐมนตรีและปลัดกระทรวงก็จะเป็นเทคโนแครตที่มีความรู้ความสามารถมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่เป็นเพียงพวกจงรักภักดีและพวกคอยดำเนินการให้เป็นไปตามคำสั่งของ ฮุนเซน [19] เท่านั้น

เดวิด ฮุตต์ เป็นนักวิจัยอยู่ที่สถาบันเอเชียศึกษาแห่งยุโรปกลาง (Central European Institute of Asian Studies)

ข้อเขียนนี้แต่แรกสุดเผยแพร่โดย อีสต์ เอเชีย ฟอรัม (East Asia Forum)

เชิงอรรถ
[1] https://www.france24.com/en/live-news/20230701-cambodian-pm-kicks-off-campaign-in-one-sided-election
[2] https://english.news.cn/20230630/5de9c2892a55484ab9ee52aa261dc1e6/c.html
[3] https://data.worldbank.org/indicator/NY.GDP.PCAP.CD?locations=KH
[4] https://www.eastasiaforum.org/2023/02/28/hun-manet-cambodias-rising-son/
[5] https://www.scmp.com/week-asia/politics/article/3097421/hun-manet-cambodias-leader-waiting-us-military-educated-chinas
[6] https://apnews.com/article/cambodia-hun-manet-promotion-army-9d7e3dc2045c99aa810b3c1a386d615a
[7] https://www.csis.org/analysis/whats-next-cambodias-princeling
[8] https://www.khmertimeskh.com/501158893/pm-biopic-video-life-of-a-pagoda-boy-now-available-online/
[9] https://cambojanews.com/hun-manet-to-run-as-candidate-in-national-assembly-elections/
[10] https://www.khmertimeskh.com/501141046/hun-manet-biography-to-be-distributed-free/
[11] https://www.cpp.org.kh/en/details/332741
[12] https://asianews.network/hun-sen-to-remain-ruling-partys-president-even-after-stepping-down/
[13] https://www.facebook.com/people/Hun-Manet/100069511484329/
[14] https://cambodianess.com/article/hun-manet-appointed-head-of-cpps-youth-wing
[15] https://www.phnompenhpost.com/national/volunteer-doctors-played-significant-role-curbing-covid
[16] https://www.rfa.org/english/news/cambodia/bilateral-relations-02102023172640.html
[17] https://www.youtube.com/watch?v=EVwa-SV2I7k
[18] https://thediplomat.com/2022/07/hun-sen-plods-along-with-cambodias-leadership-succession/
[19] https://www.eastasiaforum.org/2023/05/02/hun-sens-fight-to-control-the-cambodian-infosphere/

กัมพูชากำลังจะมีการเปลี่ยนถ่ายคณะผู้นำประเทศครั้งใหญ่ชนิดโอนอำนาจจากผู้นำรุ่นหนึ่งมายังอีกรุ่นหนึ่ง ไม่เพียงแค่ฮุน มาเนต บุตรชายคนโตของฮุนเซน จะได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนที่บิดาเท่านั้น เป็นต้นว่า ทั้งซาร์ เคง รัฐมนตรีมหาดไทย และเตีย บัญ รัฐมนตรีกลาโหม ก็จะอำลาตำแหน่ง เป็นการเปิดทางให้แก่บุตรชายของพวกเขา สำหรับในภาพนี้ รัฐมนตรีกลาโหม เตีย บัญ (ซ้าย) และฮุน มาเนต (ขวา) ตั้งท่าให้ถ่ายภาพในพิธีประดับยศพลเอกให้แก่บุตรชายคนหัวปีของฮุนเซน ผู้นี้ ณ กระทรวงกลาโหมกัมพูชาในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2023
หมายเหตุผู้แปล

เกี่ยวกับการผลัดเปลี่ยนตัวคณะผู้นำของกัมพูชา ชนิดที่เป็นการถ่ายโอนอำนาจไปสู่คนเจเนอเรชันต่อไป เอเชียไทมส์ยังได้เผยแพร่ข้อเขียนอีกชิ้นหนึ่งในเวลาใกล้เคียงกัน เขียนโดย เดวิด ฮุตต์ เช่นกัน พูดลงรายละเอียดเรื่องการผลัดใบผู้นำในเขมรครั้งนี้ ผู้แปลจึงขอเก็บความบางส่วนนำมาเสนอเพิ่มเติมในที่นี้


ลงลึก ‘เขมร’ กำลังจะเปลี่ยนตัวคณะผู้นำครั้งมโหฬาร ชนิดถ่ายโอนอำนาจให้คนอีกรุ่นหนึ่ง
โดย เดวิด ฮุตต์

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Leaked peek at Cambodia’s post-election, new-gen roster
By DAVID HUTT
17/07/2023

หลังจากการเลือกตั้งทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคมผ่านพ้นไป กัมพูชาก็จะดำเนิน “การสืบทอดอำนาจไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง” ระดับใหญ่โตมโหฬาร โดยที่นายกรัฐมนตรีฮุนเซน จะก้าวลงจากตำแหน่งภายหลังครองอำนาจมาเป็นเวลาเกือบๆ 4 ทศวรรษ เพื่อให้ ฮุน มาเนต บุตรชายคนหัวปีของเขาขึ้นไปแทนที่ ทั้งนี้ตามเอกสารทางการหลายฉบับที่รั่วไหลออกมาและเอเชียไทมส์ได้พบเห็น

แต่นอกเหนือจากการสืบทอดอำนาจแบบราชวงศ์ของตัว ฮุนเซน เอง ซึ่งจะได้เห็น ฮุน มาเนต ที่เวลานี้อยู่ในวัย 45 ปีเข้าครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อจากบิดาแล้ว บุตรชายของ 2 รัฐมนตรีผู้ทรงอำนาจมากอย่าง รัฐมนตรีมหาดไทย ซาร์ เคง (Sar Kheng) และรัฐมนตรีกลาโหม เตีย บัญ (Tea Banh) ก็จะได้สืบทอดตำแหน่งของบิดาของพวกเขาด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ตามบัญชีรายชื่อที่มีการรั่วไหลออกมา

ถ้าหากเป็นไปตามรายชื่อที่รั่วไหลออกมานี้ทั้งหมดแล้ว ย่อมหมายความว่าในจำนวนตำแหน่งระดับคณะรัฐมนตรีที่มีอยู่ราวๆ 30 ตำแหน่ง เมื่อมีการประกาศรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ ซึ่ง ฮุนเซน เพิ่งพูดเอาไว้ว่าจะมีขึ้นภายในสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จะมีรัฐมนตรีหน้าใหม่ถึง 23 คนทีเดียว ขณะที่ระดับรองนายกรัฐมนตรีในปัจจุบันซึ่งมีด้วยกันทั้งสิ้น 10 คน จะเหลือได้ไปต่อเพียงคนเดียวเท่านั้น

รัฐมนตรีหน้าใหม่เหล่านี้จำนวนมากอยู่ในฐานะเหมือนๆ กับ ฮุน มาเนต คือ เป็นผู้ที่มีอายุอยู่ในวัย 40 ปีเศษๆ และเป็นลูกๆ หรือญาติใกล้ชิดของพวกผู้นำรุ่นคุณปู่ของพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party หรือ CPP) ซึ่งกำลังเกษียณอายุออกจากตำแหน่งกันไป อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายบอกกับเอเชียไทมส์ว่า ในรายชื่อที่รั่วไหลออกมาดังกล่าวมีหลายคนทีเดียวจัดเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถควรค่าแก่การให้ความสนใจ อันเป็นเครื่องบ่งชี้ประการหนึ่งว่า คณะรัฐบาลของ ฮุน มาเนต ซึ่งอยู่ในระหว่างการฟอร์มตัวจะมีความพยายามที่จะสร้างภาพว่าเป็นเทคโนแครตฝีมือดีและยึดมั่นเรื่องธรรมาภิบาลขึ้นมาด้วย

ตามรายชื่อที่รั่วไหลดังที่ว่า กระทรวงมหาดไทยจะสืบทอดโดย ซาร์ สุขะ (Sar Sokha) บุตรชายวัย 43 ปี ของซาร์ เคง โดยปัจจุบัน ซาร์ สุขะ เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี (secretary of state) อยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ รวมทั้งเป็นนายกสมาคมฟุตบอลกัมพูชา ส่วน เตีย เซหา (Tea Seiha) วัย 42 ปี ผู้ว่าการจังหวัดเสียมเรียบคนปัจจุบัน จะรับมอบกระทรวงกลาโหมสืบต่อจากบิดาของเขา

สำหรับ วงเซ วิสโซธ (Vongsey Vissoth) รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรองรัฐมนตรี (permanent secretary of state) ของกระทรวงการคลัง ผู้มีประสบการณ์สูง จะขึ้นเป็นรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบสำนักคณะรัฐมนตรี (Minister in Charge of the Office of the Council of Ministers) คนใหม่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่สำคัญเนื่องจากเป็นผู้กำหนดนัดหมายการประชุมคณะรัฐมนตรี รวมทั้งระเบียบวาระของการประชุม เขาน่าจะเป็นผู้ทำให้เป็นที่มั่นใจได้ว่า ฮุนเซน จะยังคงมีบทบาทอันคึกคักแข็งขันในการประชุมคณะรัฐมนตรีในอนาคต

ซก เจนดา สุเพีย (Sok Chenda Sophea) เลขาธิการสภาเพื่อการพัฒนากัมพูชา (Council for the Development of Cambodia) หน่วยงานทำหน้าที่ศึกษาประเมินการลงทุนจากต่างประเทศ เป็นที่คาดหมายกันว่าจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศคนต่อไป

รัฐมนตรีหน้าเก่าบางคนจะยังได้อยู่ในตำแหน่งต่อ รวมทั้งรัฐมนตรีคลัง อัน พรโมนิโรธ (Aun Pornmoniroth) วัย 57 ปี ซึ่งดูเหมือนจะเป็นรองนายกรัฐมนตรีในชุดปัจจุบันเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังรักษาตำแหน่งดังกล่าวเอาไว้ได้ด้วย ขณะที่ อิง กันธา ปาวี (Ing Kantha Phavi) ที่เป็นรัฐมนตรีกิจการสตรีมาตั้งแต่ปี 2004 จะยังสามารถรักษาตำแหน่งของเธอเอาไว้ต่อไป

สำหรับรายชื่อที่รั่วไหลออกมานี้ ถูกนำมาเผยแพร่ทางสื่อสังคมตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่แล้วโดยพวกบัญชีโซเชียลมีเดียที่โยงใยกับพวกพรรคการเมืองฝ่ายค้านของกัมพูชา ซึ่งเวลานี้ถูกสั่งยุบเลิกไปแล้ว ดังนั้นทำให้เกิดความสงสัยกันว่ามันอาจจะเป็นของปลอม

อย่างไรก็ดี เอเชียไทมส์ได้พูดคุยกับแหล่งข่าวหลายรายทั้งที่อยู่ในรัฐบาลและที่อยู่ในวงการทูต ซึ่งต่างบอกว่าชื่อและตำแหน่งต่างๆ ในบัญชีนี้สอดคล้องกับข้อมูลข่าวสารที่พวกเขาได้รับมาจากทางอื่นๆ นอกจากนั้นแล้ว ยังดูเข้ากันได้กับรายละเอียดต่างๆ ที่มีการรั่วไหลออกมาตลอดช่วง 12 เดือนมานี้

ตัวอย่างเช่น ผู้เขียน (เดวิด ฮุตต์) ได้ยินมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า ฮุน มานี วัย 40 ปีที่เป็นบุตรชายอีกคนหนึ่งของ ฮุนเซน น่าจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีของกระทรวงงานราชการพลเรือน (civil service) ซึ่งปรากฏว่าบัญชีรายชื่อที่รั่วออกมาได้ยืนยันเรื่องนี้

เพื่อให้การก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของบุตรชายคนหัวปีของเขาดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เชื่อกันว่า ฮุนเซน ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะมี “การสืบทอดอำนาจไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่ง” เกิดขึ้นมาด้วย โดยที่ลูกๆ หรือญาติใกล้ชิดของพวกผู้นำคุณปู่รุ่นเดอะของพรรค CPP ทั้งหมดจะได้เข้าสืบต่อตำแหน่งคนรุ่นพ่อที่เกษียณอายุออกไป

ตามบัญชีรายชื่อที่รั่วไหล เอียง สุภัลเลธ (Eang Sophalleth) จะขึ้นเป็นรัฐมนตรีสิ่งแวดล้อม เขาเป็นบุตรเขยของ เจีย สุภารา (Chea Sophara) รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีบริหารจัดการที่ดิน ซึ่งกำลังจะพ้นตำแหน่ง

จาม นิมล (Cham Nimol) ผู้ช่วยรัฐมนตรีของกระทรวงพาณิชย์ จะขึ้นเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ เธอเป็นบุตรสาวของอดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ จาม ประสิทธิ์ (Cham Prasidh)

กระทั่งลูกๆ ของพวกผู้นำรุ่นปู่ของพรรคที่ได้เสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว หลายคนก็ได้รับการเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้ เป็นต้นว่า ซก สุเคน (Sok Soken) บุตรชายของ ซก อัน (Sok An) พันธมิตรผู้ใกล้ชิดกันมาอย่างเก่าแก่ยาวนานของ ฮุนเซน รวมทั้งเป็นอดีตรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบสำนักคณะรัฐมนตรี จ่อที่จะได้เป็นรัฐมนตรีการท่องเที่ยวคนต่อไป

เวลาเดียวกัน เจีย สุเมธี (Chea Somethy) บุตรชายของ เจีย ซิม (Chea Sim) อดีตประธานพรรค CPP ผู้ล่วงลับ ได้รับการคาดหมายว่าจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีกิจการสังคม ทหารผ่านศึก และการบำบัดฟื้นฟูเยาวชน (Minister for Social Affairs, Veterans and Youth Rehabilitation)

ยังมีผู้ที่จะได้รับแต่งตั้งจำนวนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยใกล้ชิดของ ฮุน มาเนต เป็นต้นว่า เฮง ซัว (Heng Sour) ที่ถูกระบุว่าจะได้เป็นรัฐมนตรีแรงงาน และฮูต ฮัก (Huot Hak) ซึ่งเก็งกันว่าจะเป็นรัฐมนตรีผู้ดูแลความสัมพันธ์กับรัฐสภา

จัย โบริน (Chay Borin) สมาชิกรัฐสภาจากจังหวัดตะโบงคมุม มีชื่อจะได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีศาสนา โดยดูเหมือนเนื่องจากเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ ฮุน มาเนต จากการทำงานในฝ่ายเยาวชนของพรรค CPP ซึ่งฝ่ายหลังขึ้นนั่งเป็นประธานมาตั้งแต่เมื่อปี 2020

แต่แม้กระทั่งในกรณีที่มีลัทธิพวกพ้องเข้ามีบทบาทเกี่ยวข้องอย่างชัดเจน ก็ไม่ได้หมายความว่าคนรุ่นใหม่ๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นมาจะขาดไร้คุณสมบัติทางด้านความรู้ความสามารถไปเสียหมด

คอมเมนเตเตอร์ส่วนใหญ่จะต้องเห็นด้วยว่า ดิธ ตินา (Dith Tina) บุตรชายวัย 44 ปีของประธานศาลสูงสุด ดิธ มุนธี (Dith Munthy) ที่ตัดสินให้ยุบเลิกพรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party หรือ CNRP) พรรคฝ่ายค้านสำคัญที่สุดไปในปี 2017 เป็นผู้มีผลงานระดับดีเยี่ยมตั้งแต่ที่ขึ้นเป็นรัฐมนตรีเกษตรเมื่อปีที่แล้ว อีกทั้งคาดหมายกันว่าเขาจะยังรักษาตำแหน่งนี้เอาไว้ได้ เช่นเดียวกับคนมีความรู้ความสามารถอย่าง ไกต์ ริธ (Koeut Rith) ผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรียุติธรรมมาตั้งแต่ปี 2020
กำลังโหลดความคิดเห็น