ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศในวันพุธ (22 มี.ค.) ขยับดอกเบี้ยไป 0.25% แต่ก็ส่งสัญญาณว่ากำลังอยู่ตรงปากขอบของช่วงหยุดพักไม่ดันต้นทุนการกู้ยืมให้สูงขึ้นอีก โดยอธิบายความเคลื่อนไหวคราวนี้ว่าเพื่อรักษาสมดุลระหว่างการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อและการป้องกันไม่ให้เกิดความโกลาหลกับภาคการธนาคารไปมากกว่าเดิม ขณะเดียวกัน ประธานเฟด เจอโรม พาวเวล ก็แถลงยืนยันว่า อุตสาหกรรมการธนาคารของอเมริกายังมั่นคงแข็งแกร่ง
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศหลังสิ้นสุดการประชุมเป็นเวลา 2 วันของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของเฟด (เอฟโอเอ็มซี) ว่า ตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ซึ่งตรงตามความคาดหมายของผู้คนส่วนใหญ่ ทำให้เวลานี้อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานของสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับระหว่าง 4.75-5%
การขึ้นดอกเบี้ยรอบล่าสุดนี้เป็นการขยับเท่ากับที่ขึ้นรอบที่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ และถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งที่ 9 ต่อเนื่องกัน
เฟดยังอัปเดตการคาดการณ์เศรษฐกิจอเมริกัน โดยลดตัวเลขคาดแนวโน้มการเติบโตของปีนี้ลงจาก 0.5% ซึ่งบอกไว้เมื่อเดือนธันวาคมมาอยู่ที่ 0.4%
การตัดสินใจเมื่อวันพุธตอกย้ำว่า เฟดยังคงมีความต้องการจัดการกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังปักหลักเหนียวแน่นเหนือเป้าหมายรายปีระยะยาวที่ 2% แม้เฟดพยายามอย่างต่อเนื่องไม่ให้อัตราเงินเฟ้อขยับขึ้นอีก
พาวเวล ประธานเฟดย้ำว่า การดึงอัตราเงินเฟ้อกลับมาอยู่ที่ 2% เป็นภารกิจที่ยังต้องพยายามกันต่อไปและมีแนวโน้มไม่ใช่เรื่องง่าย
เฟดเตือนในคำแถลงอธิบายการขึ้นดอกเบี้ยล่าสุดคราวนี้ว่า ความวุ่นวายในระบบการธนาคารเมื่อเร็วๆ นี้ภายหลังการล้มของ ซิลิคอน แวลลีย์ แบงก์ (เอสวีบี) อาจส่งผลต่อความพร้อมของสินเชื่อสำหรับครัวเรือนและธุรกิจ และกดดันกิจกรรมเศรษฐกิจ การจ้างงาน และภาวะเงินเฟ้อ
อย่างไรก็ดี พาวเวลยืนยันว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการบริหารผิดพลาดของเอสวีบีเอง ขณะที่ระบบการธนาคารของอเมริกายังคงแข็งแกร่ง และสำทับว่า เฟดจะพิจารณาการส่งเสริมการกำดับดูแลและกฎระเบียบของแบงก์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทตอบสนองการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดคราวนี้ด้วยการร่วงลงอย่างรุนแรงในตอนปิดการซื้อขายวันพุธ โดยพวกนักลงทุนเพ่งเล็งสนใจคำแถลงของพาวเวล ที่ว่า เฟดยังต้องการต่อสู้กับเงินเฟ้อควบคู่กับการจับตาว่า การล้มของเอสวีบี รวมทั้งแบงก์ขนาดเล็กกว่าอีกแห่งอย่างซิกเนเจอร์ แบงก์ จะทำให้อุปสงค์ลดลงและการกู้ยืมชะลอตัวมากแค่ไหน
การล้มของแบงก์ทั้ง 2 แห่งดังกล่าวทำให้ในคำแถลงอธิบายการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยคราวนี้ เฟดได้ตัดข้อความที่ระบุว่า “การขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องไปอีกมีแนวโน้มว่าเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม”
ทั้งนี้ ภาคการธนาคารของอเมริกาเผชิญความโกลาหลหลังจากหน่วยงานกำกับดูแลสั่งปิดเอสวีบีเมื่อวันที่ 10 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการล่มสลายของธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในอเมริกานับจากวิกฤตการเงิน 2008
การล้มของเอสวีบี และซิกเนเจอร์ แบงก์ ฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงยกแผง เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าระเบิดเวลาลูกต่อไปในระบบการธนาคารกำลังจะทำงาน รวมทั้งยังกระทบไปถึงภาคการธนาคารระดับโลก โดยทำให้รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์เร่งเร้าสนับสนุนยูบีเอส กรุ๊ป เข้าเทกโอเวอร์เครดิต สวิส คู่แข่งร่วมชาติที่เปิดดำเนินการมาถึง 167 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤตลุกลาม
เวลาเดียวกัน การขึ้นดอกเบี้ยไม่หยุดหย่อนของเฟดเพื่อกำราบเงินเฟ้อก็ถูกวิจารณ์ว่า เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ภาคการธนาคารล่มสลายครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 15 ปีอยู่เวลานี้
ไบรอัน จาค็อบเซน นักกลยุทธ์อาวุโสด้านการลงทุนของออลล์สปริง โกลบัล อินเวสต์เมนต์ ในรัฐวิสคอนซิน วิจารณ์ว่า ขณะนี้เฟดอยู่กับความหวังและการสวดภาวนาว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลร้ายแบบไม่อาจเยียวยาได้กับระบบการธนาคาร
ทว่า เจน เฟรเซอร์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) ซิตี้ กรุ๊ป แสดงความเชื่อมั่นในระบบการธนาคารของอเมริกา และสำทับว่า เหตุการณ์วุ่นวายก่อนหน้านี้ไม่ได้บ่งชี้ถึงวิกฤตสินเชื่อ
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ เฟิร์สต์ รีพับลิก แบงก์ ธนาคารอเมริกาอีกแห่งที่ประสบปัญหาในขณะนี้กำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ กลับประกาศเมื่อวันพุธว่า ไม่มีการหารือเรื่องการคุ้มครองเงินฝากทั้งหมด ซึ่งดูเหมือนขัดแย้งกับการแสดงความคิดเห็นของพาวเวลระหว่างการแถลงข่าวดอกเบี้ยที่ว่า ผู้ฝากเงินควรตั้งสมมติฐานว่า เงินฝากของตัวเองจะมีความปลอดภัย
ความเคลื่อนไหวล่าสุดของเฟดเกิดขึ้นหลังจากสัปดาห์ที่แล้วธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ขึ้นดอกเบี้ย 0.5%
คริสติน ลาการ์ด ประธานอีซีบีออกมาเตือนเมื่อวันพุธว่า ผู้วางนโยบายการเงินของยูโรโซนจะยังคงดำเนินการเพื่อให้แน่ใจว่าความกดดันด้านเงินเฟ้อจะสิ้นสุดลง และเสริมว่า เหตุการณ์วุ่นวายในภาคการธนาคารก่อนหน้านี้เพิ่มความเสี่ยงขาลงในยูโรโซน
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)