xs
xsm
sm
md
lg

‘สี จิ้นผิง’ ชี้แผนสันติภาพยูเครนที่จีนเสนอสะท้อน ‘มุมมองร่วม’ ของทั่วโลก-มุ่งหาทางออกที่ 'เป็นกลาง'

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ระบุวันนี้ (20 มี.ค.) ว่า แผนสันติภาพ 12 ประการที่จีนเสนอเพื่อช่วยยุติความขัดแย้งในยูเครน “สะท้อนมุมมองร่วมของทั่วโลก” และเป็นแนวทางที่ช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาอย่างเป็นกลางมากที่สุด แต่ก็ยอมรับว่าทางออกสำหรับวิกฤตการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย

การเดินทางไปเยือนมอสโกอย่างเป็นทางการในวันนี้ (2) ทำให้ สี จิ้นผิง กลายเป็นผู้นำต่างชาติคนแรกที่พบกับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ภายหลังจากที่ผู้นำรัสเซียถูกศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ออกหมายจับฐานก่ออาชญากรรมสงครามเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (17)

ในบทความซึ่งเผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ Rossiiskaya Gazeta ของทางการรัสเซีย ประธานาธิบดี สี เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันยุติความขัดแย้งในยูเครนด้วย “มุมมองเชิงปฏิบัติจริง” (pragmatism) และย้ำว่าแผนสันติภาพ 12 ประการที่กระทรวงการต่างประเทศจีนเสนอเมื่อเดือน ก.พ. ถือเป็นตัวแทน “มุมมองร่วมของประชาคมโลกที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด”

“เอกสารฉบับนี้เป็นปัจจัยสร้างสรรค์ที่จะช่วยให้ผลลัพธ์ของวิกฤตการณ์ครั้งนี้ออกมาอย่างเป็นกลาง และสนับสนุนการแสวงหาข้อตกลงทางการเมือง ทว่าปัญหาที่ซับซ้อนย่อมไม่อาจแก้ไขได้ง่ายดายนัก”

รัฐบาลจีนภายใต้การนำของ สี จิ้นผิง พยายามแสดงบทบาทเป็นผู้สร้างสันติภาพให้แก่โลก และเป็นมหาอำนาจที่มีความรับผิดชอบ โดยที่ผ่านมา ปักกิ่งประกาศจุดยืนเป็นกลางในสงครามยูเครนมาโดยตลอด แม้จะวิพากษ์วิจารณ์มาตรการคว่ำบาตรที่ตะวันตกลงโทษรัสเซีย และยังคงยืนหยัดในความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับมอสโกก็ตาม

สหรัฐฯ และองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) กล่าวหาจีนว่ามีแผนส่งอาวุธช่วยรัสเซีย พร้อมขู่ปักกิ่งว่าจะต้องเผชิญผลลัพธ์ที่ร้ายแรง ขณะที่จีนออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหานี้อย่างแข็งขัน

สี ยังระบุด้วยว่า การยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครนด้วยแนวทางสันติวิธี “จะช่วยปกป้องเสถียรภาพของภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานโลก”

ผู้นำจีนยังเรียกร้องแนวทางที่ “มีเหตุมีผล” ในการยุติสงครามครั้งนี้ ซึ่งเขามองว่า “สามารถเป็นไปได้ หากทุกฝ่ายต่างคำนึงถึงความมั่นคงร่วมที่ครอบคลุมและยั่งยืน ส่งเสริมการเจรจาและการปรึกษาหารือภายใต้ความเท่าเทียม ระมัดระวัง และยึดมุมมองที่ปฏิบัติได้จริง”

สี ระบุว่า ตนไปรัสเซียคราวนี้มีความตั้งใจที่จะกระชับมิตรภาพระหว่างทั้ง 2 ประเทศ “ซึ่งเป็นหุ้นส่วนที่ครอบคลุมและมีปฏิสัมพันธ์กันในเชิงยุทธศาสตร์” ในโลกซึ่งกำลังถูกคุกคามด้วย “การช่วงชิงความเป็นเจ้าโลก (hegemony) ระบบใช้อำนาจเด็ดขาด (despotism) และการข่มขู่คุกคาม (bullying)”

“ไม่มีรูปแบบการปกครองที่เป็นสากลทั่วโลก และไม่มีกฎระเบียบโลกซึ่งประเทศหนึ่งประเทศใดถืออำนาจตัดสินฝ่ายเดียว” สี กล่าว “ความเป็นหนึ่งเดียวของทั่วโลกและสันติภาพที่ปราศจากการแบ่งแยกและการสร้างความวุ่นว่ายต่างหากจะเป็นประโยชน์ร่วมต่อมวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง”

ที่มา : รอยเตอร์
กำลังโหลดความคิดเห็น