ดมิทรี เมดเวเดฟ อดีตประธานาธิบดีรัสเซียเตือนว่า ความพยายามใดๆ ของสหรัฐฯ ที่จะทำให้รัสเซียพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ในยูเครน จะทำให้รัสเซียมีความชอบธรรมในการปกป้องตนเองด้วยทุกวิถีทาง ในนั้นรวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์
ทั้งนี้ ความเห็นของเมดเวเดฟ มีขึ้นแม้อีกด้านหนึ่งทางกระทรวงการต่างประเทศของรัสเซีย เน้นย้ำว่าการตัดสินใจถอนตัวออกจากข้อตกลงควบคุมอาวุธ New START ไม่เพิ่มความเสี่ยงของความขัดแย้งทางนิวเคลียร์ และทางประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ เชื่อว่าการตัดสินใจถอนตัวดังกล่าวของ ปูติน ไม่ได้เป็นการส่งสัญญาณว่าผู้นำรายนี้กำลังคิดใช้อาวุธนิวเคลียร์
เมดเวเดฟ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย แสดงความคิดเห็นนี้ในวันพุธ (22 ก.พ.) หลังจาก ปูติน ประกาศถอนตัวจากข้อตกลง New START ข้อตกลงควบคุมอาวุธระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ หนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ ระหว่างแถลงนโยบายประจำปีในวันอังคาร (21 ก.พ.) พร้อมกันนั้นเขายังได้เตือนว่าพวกผู้คนระดับสูงของสหรัฐฯ อย่าคิดว่าตัวเองนั้นไม่มีใครสามารถแตะต้องได้
อดีตประธานาธิบดีรายนี้อ้างว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็นสิ่งที่เขาคาดหมายมานานแล้ว และชี้ว่ามันควรถูกใช้เป็นสารที่ส่งถึงผู้คนระดับสูงของสหรัฐฯ "ที่คิดว่าอาจสามารถหาทางทำให้รัสเซียเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้ แต่ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงมันเป็นคนละเรื่อง" พร้อมระบุว่า ความคิดดังกล่าวเป็นต้นเหตุของความผิดพลาดเลวร้ายต่างๆ ของอเมริกา และเตือนว่าด้วยที่สหรัฐฯ ต้องการกำราบรัสเซีย "เราจึงมีสิทธิปกป้องตนเองไม่ว่าด้วยอาวุธใดๆ ในนั้นรวมถึงนิวเคลียร์"
นอกจากนี้ เมดเวเด ยังได้ปฏิเสธคำกล่าวปราศรัยของไบเดน ในกรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของโปแลนด์ เมื่อวันอังคาร (21 ก.พ.) ว่าเป็นการเทศนาตามสไตล์ของอเมริกาที่ไม่มีความน่าเชื่อถือใดๆ หลังผู้นำสหรัฐฯ เน้นว่าประเทศของเขาไม่มีความตั้งใจโจมตีรัสเซีย และเร่งเร้ามอสโกให้ยุติความขัดแย้งยูเครน ด้วยการถอนทหารออกจากดินแดนต่างๆ ที่กล่าวอ้างโดยเคียฟ
เมดเวเดฟ ตั้งคำถามว่าทำไมรัสเซียถึงต้องเชื่อผู้นำของประเทศศัตรู ที่เคยปลดปล่อยสงครามต่างๆ ในยุคศตวรรษที่ 20 และ 21 มากกว่าชาติไหนๆ และมีเจตนาทำให้รัสเซียประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ พร้อมชี้ว่าเป็นฝ่ายวอชิงตันเองที่สามารถยุติเหตุเผชิญหน้าในยูเครนได้
"ถ้ารัสเซียหยุดปฏิบัติการพิเศษด้านการทหารก่อนบรรลุเป้าหมายแห่งชัยชนะ มันจะไม่มีรัสเซียอีก เพราะว่ารัสเซียจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ถ้าสหรัฐฯ หยุดส่งอาวุธให้แก่รัฐบาลเคียฟ สงครามจะยุติลง" เมดเวเดฟยืนยัน
ความเห็นของเมดเวเดฟ สวนทางกับคำกล่าวของรัฐมนตรีช่วยว่าการต่างประเทศรัสเซีย ที่ยืนยันว่าการตัดสินใจระงับการมีส่วนร่วมของรัสเซีย ในสนธิสัญญาลดอาวุธ New START ที่ทำไว้กับสหรัฐฯ จะไม่เพิ่มความเสี่ยงก่อความขัดแย้งทางนิวเคลียร์
คำแถลงถอนตัวของ ปูติน เมื่อวันอังคาร (21 ก.พ.) เพิ่มความกังวลว่าความขัดแย้งในยูเครนที่ลากยาวมาเกือบครบ 1 ปี อาจลุกลามบานปลายกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ระดับโลก แต่ทาง เซอร์เก รยาบคอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ปฏิเสธข้อวิตกเหล่านั้น และระบุมันขึ้นอยู่กับ ปูติน ว่าจะหวนคืนสู่ข้อตกลงดังกล่าวหรือไม่ "ผมไม่เชื่อว่าการตัดสินใจระงับสนธิสัญญา New START จะนำเราเข้าใกล้สงครามนิวเคลียร์"
ข้อตกลงนี้เป็นเสาหลักสำคัญสุดท้ายในหนทางควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ในยุคหลังสงครามเย็นระหว่างรัสเซียและสหรัฐฯ และจำกัดคลังแสงนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์ของพวกเขา
แม้กระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ตามด้วยกระทรวงกลาโหม เน้นย้ำว่ามอสโกจะยังคงปฏิบัติตามกรอบข้อจำกัดต่างๆ ในข้อตกลง New START ในด้านจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ที่แต่ละฝ่ายสามารถประจำการได้
แต่กระนั้นทางวอชิงตันโวยวายความเคลื่อนไหวของปูติน โดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ในวันพุธ (22 ก.พ.) เรียกมันว่าเป็น "ความผิดพลาดใหญ่หลวง" ระหว่างที่เขามุ่งหน้าไปพบปะพูดคุยกับบรรดาผู้นำในปีกตะวันออกของนาโต้ในกรุงวอร์ซอ
ไบเดน บอกว่าไม่ขออ่านใจปูติน ที่ระงับการมีส่วนร่วมชั่วคราวในสนธิสัญญา New START ว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าผู้นำรัสเซียกำลังพิจารณาใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ แต่เขาเรียกมันว่าเป็นความผิดพลาดมหันต์ "มันเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวงที่ทำเช่นนั้น ไม่มีความรับผิดชอบใดๆ เลย แต่ผมไม่ขออ่านใจหรอกว่าเขากำลังคิดใช้อาวุธนิวเคลียร์หรือไม่ หรืออะไรก็ตามที่คล้ายกัน" ไบเดนให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอบีซีนิวส์
เมื่อถามว่าการระงับสนธิสัญญาทำให้โลกปลอดภัยน้อยลงใช่หรือไม่ ไบเดนตอบกลับว่า "ผมคติดว่าเรามีความปลอดภัยน้อยลง เมื่อเราปลีกตัวออกห่างจากข้อตกลงควบคุมอาวุธต่างๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับทั้งสองฝ่ายและเป็นประโยชน์กับทั่วโลก"
อย่างไรก็ตาม เขากล่าวเพิ่มเติมว่า ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในยุทธศาสตร์ทางนิวเคลียร์ของรัสเซีย "มีความคิดที่ว่า นี่มันอาจหมายความอย่างหนึ่งอย่างใด ว่าพวกเขากำลังคิดใช้อาวุธนิวเคลียร์ ขีปนาวุธข้ามทวีป แต่ไม่พบหลักฐานในเรื่องดังกล่าว" ไบเดน ระบุ
(ที่มา : อาร์ทีนิวส์/อัลจาซีราห์/รอยเตอร์)