xs
xsm
sm
md
lg

เอาไว้ปรามสหรัฐฯ! สื่อญี่ปุ่นตีข่าวจีนวางเป้าหมาย อีก 12 ปีมีหัวรบนิวเคลียร์เพิ่มเป็น 900 ลูก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



จีนกำลังวางเป้าหมายเพิ่มจำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของประเทศเป็น 900 ลูก ภายในปี 2035 เพื่อป้องปรามสหรัฐฯ ตามรายงานของสำนักข่าวเกียวโดนิวส์ โดยอ้างแหล่งข่าวจีนในวันเสาร์ (11 ก.พ.)

สำนักข่าวเกียวโดนิวส์ รายงานในวันเสาร์ (11 ก.พ.) อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกับประเด็นนี้ ระบุว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้เห็นชอบแผนเพิ่มคลังแสงนิวเคลียร์ของประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

แหล่งข่าวระบุว่า บรรดาผู้นำระดับสูงของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน เน้นย้ำถึงความสำคัญของการป้องปรามทางนิวเคลียร์ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังได้ข้อสรุปจากความขัดแย้งในยูเครน ดินแดนที่ตะวันตกยังคงอดกลั้นจากการเผชิญหน้าโดยตรงกับรัสเซีย สืบเนื่องจากมอสโกเป็นชาติที่ครอบครองหัวรบนิวเคลียร์มากที่สุดในโลก แม้จะจัดหาเงินทุน มอบการฝึกฝนและข่าวกรองแก่เคียฟก็ตาม

จำนวนหัวรบนิวเคลียร์ของจีน มีความเป็นไปได้ว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 400 ลูกเป็น 550 ลูกภายในปี 2027 และแตะระดับ 900 ลูกภายในปี 2035 แหล่งข่าวใกล้ชิดบอกกับเกียวโดนิวส์

ตัวเลขดังกล่าวของสำนักข่าวเกียวโดนิวเคลียร์ ถือว่าน้อยกว่าที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คาดการณ์ไว้เมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา ซึ่งในตอนนั้นเพตากอนประมาณการว่าปักกิ่งน่าจะมีหัวรบ 1,500 ลูกภายในปี 2035

กระนั้นก็ตามไม่ว่าจะเป็นกรณีใด จีนยังคงตามหลังรัสเซียและสหรัฐฯ ค่อนข้างห่าง ในแง่ของการมีหัวรบนิวเคลียร์ในครอบครอง โดยปัจจุบันมอสโกและวอชิงตัน อวดอ้างว่ามีหัวรบนิวเคลียร์ 5,977 ลูกและ 5,428 ลูก ตามลำดับ จากตัวเลขประมาณการของสถาบันวิจัยสันติภาพสตอกโฮล์ม

ความตึงเครียดระหว่างปักกิ่งและวอชิงตัน ร้อนระอุขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในเรื่องเกี่ยวกับเกาะปกครองตนเองไต้หวัน ซึ่งจีนกล่าวอ้างเป็นส่วนหนึ่งของดินแดน ทั้งนี้ สหรัฐฯ เป็นผู้ขายอาวุธและผู้สนับสนุนคนสำคัญของไทเป ในความพยายามผลักดันประกาศเอกราช พร้อมทั้งสัญญาว่าจะปกป้องเกาะแห่งนี้ หากว่ารัฐบาลจีนตัดสินใจใช้กำลังเข้ายึด

ในช่วงปลายเดือนมกราคม พล.อ.ไมค์ มินิแฮน ผู้บังคับการกองบัญชาการทางอากาศ เขียนบันทึกภายใน ถึงพวกผู้บัญชาการทุกหน่วย ว่า ความขัดแย้งระหว่างวอชิงตันกับปักกิ่ง เกี่ยวกับไต้หวัน อาจระเบิดขึ้นอย่างเร็วที่สุดในปี 2025

(ที่มา : เกียวโดนิวส์/อาร์ทีนิวส์)


กำลังโหลดความคิดเห็น