xs
xsm
sm
md
lg

ทำไมจีนจึงส่งบอลลูนเข้ามาสอดแนมสหรัฐฯ?

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: แบรนดอน เจ ไวเชิร์ต ***


เครื่องบินขับไล่ เอฟ-22 ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ ใช้ขีปนาวุธยิงบอลลูนจีนตกลงมา บริเวณน่านฟ้านอกชายฝั่งรัฐเซาท์แคโรไลนา
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Why did China send a balloon?
By BRANDON J WEICHERT
06/02/2023

เรื่องอย่างนี้คือสิ่งที่พวกมหาอำนาจใหญ่ต่างก็กระทำกัน ดังนั้นจึงควรคุ้นชินกับมันดีกว่า

มาถึงตอนนี้ เหตุการณ์มหาตื่นตระหนกเกี่ยวกับบอลลูนจีนแห่งปี 2023 ก็ข้ามผ่านพวกเราไปเรียบร้อยแล้ว นี่จึงเป็นเวลาอันเหมาะสมยิ่งสำหรับการขบคิดทบทวนภายในบริบทที่ว่า ทำไมบอลลูนของจีนลูกนี้ (ซึ่งจริงๆ แล้วมันก็คือดาวเทียมชนิดปล่อยขึ้นไปภายในชั้นบรรยากาศของโลก endoatmospheric satellite นั่นเอง) จึงมาสร้างความงดงามให้แก่น่านฟ้าแห่งชาติอเมริกันของเราที่เที่ยวเปิดกว้างแบหลาอย่างน่าเศร้าใจในวันที่ท้องฟ้าสดใสของเดือนกุมภาพันธ์
(ดูรายละเอียดเกี่ยวกับจุดจบของบอลลูนจีนลูกนี้ได้ที่ https://apnews.com/article/politics-united-states-government-china-antony-blinken-51e49202f2a0a50541cde059934c4cfb)

มีความเป็นไปได้อย่างมากว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาเนื่องจากคณะผู้นำของปักกิ่งพยายามสืบเสาะเพื่อให้ทราบว่า กำลังเกิดอะไรบ้าบอขึ้นมาในคณะรัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาชุดนี้ ทั้งนี้ ผมเองต้องบอกเอาไว้ก่อนว่า ถึงแม้ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งพำนักอาศัยอยู่ในสหรัฐฯ แท้ๆ ผมก็ไม่ทราบเช่นเดียวกัน

ในสายตาของผู้คนทางส่วนอื่นๆ ของโลกในปัจจุบัน คณะผู้นำของอเมริกาดูจะไม่ได้มีเสถียรภาพความมั่นคงอะไรมาก ชาติต่างๆ กำลังขวนขวายหาทางอ่านให้ออกว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นบ้างภายในแนวเขตพรมแดนของเรา เพื่อที่จะพวกเขาจะได้สามารถกำหนดยุทธศาสตร์อย่างชนิดมีความรอบรู้เป็นพื้นฐานขึ้นมาได้

พูดกันตรงๆ นะ ในฐานะที่เป็นนักวิเคราะห์ด้านภูมิรัฐศาสตร์คนหนึ่ง ผมรู้สึกแปลกใจเสียด้วยซ้ำที่เหตุการณ์อย่างบอลลูนจีนหลุดเล็ดลอดเข้ามาจนเป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งนี้ทั้งนั้นในปัจจุบันจีนถูกสหรัฐฯ ถือว่าเป็นคู่แข่งขันทางยุทธศาสตร์อันดับหนึ่ง กระทั่งพวกนายทหารระดับสูงของสหรัฐฯ ถึงกับพูดกันว่าจีนกับสหรัฐฯ คงจะเปิดศึกทำสงครามใส่กันอย่างเร็วที่สุดก็ในปี 2025 นี้ด้วยซ้ำ!
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theguardian.com/world/2023/feb/02/us-general-gut-feeling-war-china-sparks-alarm-predictions)

คำทำนายทายทักเหล่านี้น่าที่จะมีมูลความจริงมากกว่าที่ผู้คนส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะยอมรับในขณะนี้ –แต่จากการที่พวกนายทหารอาวุโสของสหรัฐฯ ตอนนี้ออกมายอมรับกับสาธารรชนว่ามีความวิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ บางทีมันก็อาจจะกลายเป็นการเร่งรัดให้จีนแสดงพฤติการณ์ที่หุนหันไร้ความรอบคอบเช่นนี้ออกมาให้เห็นกัน

จากระเบียบใหม่ของโลกสู่การที่โลกบ้าคลั่งไร้ระเบียบ

วันเวลาที่สิ่งต่างๆ ในความสัมพันธ์จีน-อเมริกันค่อนข้างมีการบันยะบันกันกำลังสิ้นสุดลงไปแล้ว ระเบียบใหม่ของโลกกำลังถือกำเนิดขึ้นต่อหน้าต่อตาพวกเรา ภายใต้ระเบียบโลกอย่างใหม่นี้ สหรัฐฯ ไม่ได้เป็นเพลเยอร์ที่มีฐานะครอบงำเวทีอีกต่อไปแล้ว โลกไม่ได้ก้าวเท้าสวนสนามไปตามจังหวะเสียงกลองของเราอีกต่อไป และมหาอำนาจรายอื่นๆ (อย่างเช่นจีน) ก็จะแข่งขันกับเราเพื่อช่วงชิงอำนาจการควบคุม พวกมหาอำนาจอื่นๆ เหล่านี้กระทั่งอาจกลายเป็นผู้ชนะขึ้นมาด้วยซ้ำ
(ดูเพิ่มเติมได้ที่บทความของผู้เขียนใน https://amgreatness.com/2023/01/08/what-world-order/)

ขณะที่การแข่งขันนี้เพิ่มความเข้มข้นมากขึ้นๆ โดยที่สหรัฐฯ ถูกมองกันโดยทั่วไปว่าเป็นรัฐยิ่งใหญ่ที่กำลังเสื่อมถอย ส่วนจีนอยู่ในฐานะที่กำลังก้าวผงาดขึ้นมา ความสัมพันธ์จีน-อเมริกันจึงหันหน้าไปสู่ด้านที่ดำมืดลงกว่าสิ่งที่เราผ่านพบก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ที่คณะบริหารของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ยอมรับข้อเสนอของเหมา เจ๋อตง ในการต้อนรับให้จีนอยู่ในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนทางการค้ารายหนึ่งของเรา
(เรื่องสหรัฐฯ ถูกมองว่าเป็นรัฐที่กำลังเสื่อมถอย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.theatlantic.com/international/archive/2020/06/america-image-power-trump/613228/)

ยังจำหลักเกณฑ์เก่าๆ ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปได้ไหมครับ “แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ” จีนนั้นก็เช่นเดียวกับสหรัฐฯ นั่นแหละ เป็นมหาอำนาจใหญ่รายหนึ่ง และกำลังทำสิ่งที่มหาอำนาจใหญ่ทั้งหลายกระทำกันนับตั้งแต่สมัยย่ำรุ่งของประวัติศาสตร์แล้ว ได้แก่ การเตรียมตัวเพื่อสันติภาพ ด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยภายในบ้านเอาไว้ให้ได้

จากการที่ชาวอเมริกันได้เลี้ยงดูเจ้าสัตว์ร้ายตัวพิเศษตัวนี้ ผ่านทางการทำดีลด้านการค้าแบบใจกว้าง ข้อตกลงแบ่งปันข้อมูลข่าวสาร—และเทคโนโลยี ตลอดจนการผ่อนปรนในด้านดินแดน จึงมีแต่ทำให้สถานการณ์ในเวลานี้ยิ่งกลายเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันไม่อาจยอมรับได้

เรื่องนี้ยิ่งรู้สึกกันเพิ่มมากขึ้นเป็นพิเศษ สืบเนื่องจากอย่างน้อยที่สุดก็มีพวกผู้นำของเราบางคนซึ่งมองเห็นอยู่เพียงแค่ว่า การก้าวผงาดขึ้นมาของจีนจะก่อให้เกิดความเสียหายสำหรับการที่อเมริกาจะพยายามดำรงฐานะครอบงำโลกของตนเอาไว้ต่อไปขนาดไหน ช่างเป็นการสร้างบาดแผลเจ็บปวดให้แก่ตัวเองโดยแท้

แต่มันน่าเศร้าใจที่สิ่งต่างๆ จะไม่มีทางกลับไปเป็นอย่างที่มันเคยเป็นได้อีกแล้ว

จุดที่ไม่สามารถพลิกกลับคืนมา

การผงาดขึ้นของจีนนั้นเป็นของจริง จีนจะใช้อำนาจที่มากมายทีเดียวของตนไปในการปรับแต่งระเบียบระหว่างประเทศตามที่พวกผู้นำเผด็จการของประเทศจีนมองเห็นว่าเหมาะสม

ปักกิ่งได้นำเอาความมั่งคั่งอย่างมหาศาลของตนมาแปรเปลี่ยนกำลังทหารให้เป็นแบบสมัยใหม่และขยายตัวออกไปเรื่อยๆ กำลังทหารดังกล่าวนี้ได้รับการวางแผนให้คอยสกัดกั้นฝ่ายอเมริกันมิให้กระทำสิ่งที่ปักกิ่งมองว่าเป็นเขตผลประโยชน์ของตนในอินโด-แปซิฟิก ขณะเดียวกัน กำลังทหารดังกล่าวนี้ยังครอบครองสมรรถนะในการบดขยี้พวกปรปักษ์ในภูมิภาคไม่ว่าหน้าไหน –อย่างเช่นไต้หวัน หรือเป็นไปได้ว่ากระทั่งญี่ปุ่นและอินเดีย – ซึ่งคณะผู้นำของจีนคิดว่าจำเป็นต้องทำให้ปรปักษ์นี้ประสบความพ่ายแพ้

เป้าหมายของจีนคือการสร้างให้ตนเองกลายเป็นเจ้าใหญ่เหนือใครในระดับภูมิภาคขึ้นมา ซึ่งจากนั้นก็ใช้ฐานะเช่นนี้เป็นฐานสำหรับการผลักดันแสนยานุภาพทางทหารให้แผ่กว้างไกลออกไปอีก จีนหาทางทำเช่นนี้โดยผ่านวิถีทางที่ไม่ใช่แบบแผนตามปกติ –ถึงแม้ปักกิ่งยังจะใช้กำลังด้วยเช่นกันในกรณีพิเศษเฉพาะ อย่างเช่น ไต้หวัน หากเห็นว่าจำเป็น

แน่นอนทีเดียว มหาอำนาจใหญ่ๆทุกรายนั่นแหละก็ต้องมีวัตถุประสงค์เช่นนี้เหมือนกัน

ปัจจัยรัสเซีย-ยูเครน

แต่การแสดงความคิดเห็นของพวกผู้นำทางทหารสหรัฐฯ เมื่อเร็วๆ นี้เกี่ยวกับความเป็นไปได้อย่างมากๆ ที่จะเกิดสงครามกับจีนขึ้นมาภายในปี 2025 รวมไปถึงการที่อเมริกาให้ความสนับสนุนอย่างสุดลิ่มแก่ยูเครน ในการต่อสู้กับรัสเซียที่ติดอาวุธนิวเคลียร์ (และก็เป็นพันธมิตรกับจีนด้วย) น่าที่จะเร่งรัดวิกฤตในปัจจุบันที่มีอยู่กับจีนให้ยิ่งเพิ่มทวีขึ้นอีกมาก ลองมาพิจารณากันในแง่มุมนี้นะครับ ในขณะที่พวกผู้นำสหรัฐฯ กำลังพูดเรื่องเปิดศึกทำสงครามกับจีน พวกผู้นำตะวันตกก็กำลังยั่วเย้าให้เกิดสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซียในการช่วงชิงยูเครนกัน
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.newyorker.com/news/our-columnists/why-vladimir-putin-would-use-nuclear-weapons-in-ukraine)

ยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ พวกผู้นำอเมริกันและพวกผู้นำนาโต้กลุ่มเดียวกันนี้แหละยังกำลังพูดจากันอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการโค่นล้ม วลาดิมีร์ ปูติน และการตัดแบ่งเชือดเฉือนสหพันธรัฐรัสเซียให้กลายเป็นเสี่ยงๆ
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cnbc.com/2022/03/30/can-putin-be-overthrown-russias-leader-has-sought-to-prevent-a-coup.html และ https://www.washingtonpost.com/business/energy/is-breaking-up-russia-the-only-way-to-end-its-imperialism/2022/06/01/e1962c3e-e170-11ec-ae64-6b23e5155b62_story.html)

สำหรับพวกผู้นำจีน ซึ่งเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยน้อยที่สุดบนพื้นพิภพนี้ (ยกเว้นความหลงใหลฝังแน่นเกี่ยวกับไต้หวันของพวกเขา) ฝ่ายอเมริกันก็ดูเหมือนกับเป็นตัวที่คอยทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวาย เป็นไปได้อย่างมากที่ปักกิ่งกำลังพยายามที่จะทำให้เป็นที่กระจ่างชัดเจนขึ้นมาว่า ความคิดเห็นที่พูดกันออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ทั้งเกี่ยวกับเรื่องสงครามนิวเคลียร์กับรัสเซีย และเกี่ยวกับการสู้รบขัดแย้งกับจีนใน 2 ปีข้างหน้านั้น เป็นเพียงการแสดงท่าทางขึงขัง หรือว่ามีอะไรมากกว่านั้น

การที่ปักกิ่งจะเรียนรู้เรื่องนี้ได้ พวกเขาจำเป็นต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับสัญญาณทางข่าวกรอง ชนิดที่พวกดาวเทียมและบอลลูนจารกรรมเท่านั้นซึ่งสามารถที่จะจัดหาให้ได้

มากกว่าแค่เป็นบอลลูนลูกหนึ่ง

ลองพิจารณากันในแนวทางนี้ : ฝ่ายทหารของจีนได้มีการใช้พวกดาวเทียมปฏิบัติการภายในชั้นบรรยากาศของโลกเช่นนี้ในทะเลจีนใต้ซึ่งมีการแข่งขันช่วงชิงกันอย่างร้อนแรงมาเป็นเวลาแรมปีแล้ว บอลลูนเหล่านี้ราคาถูกแต่เป็นเครื่องมือทรงประสิทธิภาพสำหรับการสอดแนม- และสำหรับการชี้เป้า
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.washingtonpost.com/national-security/2023/02/04/china-spy-balloon-montana-why/)

จีนใช้บอลลูนเหล่านี้เพื่อคอยติดตามเรือรบกองทัพเรือสหรัฐฯ ที่ผ่านเข้าออกทะเลจีนใต้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=IsZTqNCS7jA&t=1353s) โดยที่อุปกรณ์สำหรับการสอดแนมนั้นจัดหาให้ได้โดยหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีสำคัญของจีน

เพื่อปกป้องรักษาภาพลักษณ์ทางการเมืองที่เต็มไปด้วยบาดแผลของตนภายในประเทศเอาไว้ ในเวลานี้คณะบริหารไบเดนจึงเที่ยวปล่อยข้อมูลข่าวสารที่ว่า จีนได้เคยส่งบอลลูนคล้ายคลึงกันนี้เข้ามาในสหรัฐฯ 3 ครั้งแล้วในสมัยของคณะบริหารทรัมป์ และประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ผู้นี้ก็ไม่ได้ดำเนินการตอบโต้อะไร กระนั้น พฤติการณ์เช่นนี้ในบริบทของการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจใหญ่ อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.dailymail.co.uk/news/article-11714657/Three-Chinese-spy-balloons-infiltrated-Trump-administration.html)

การแสดงความคิดเห็นของพวกเจ้าหน้าที่อเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ เห็นได้ชัดเจนว่าทำให้จีนรู้สึกวิตกกังวล พิจารณาจากเส้นทางโคจรของบอลลูนสอดแนมของจีนลูกนี้ เห็นชัดว่ามันกำลังสำรวจคลังแสงอาวุธนิวเคลียร์ของอเมริกา

นอกจากนั้น จากระดับความสูงของบอลลูนจีนลูกนี้ ยังทำให้มันสามารถมองเห็นพวกดาวเทียมทหารสำคัญๆ ของสหรัฐฯ ซึ่งกำลังปฏิบัติการอยู่ในวงโคจรรอบโลกระดับต่ำๆ อีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น อย่าลืมว่าพื้นที่ Dugway Proving Grounds ในรัฐยูทาห์ หรือที่เรียกกันว่า Area 52 คือสถานที่ใช้ทดสอบพวกอาวุธระดับไฮเปอร์ไซนิก (อาวุธที่มีความเร็วเหนือเสียง 5 เท่าขึ้นไป) ของอเมริกา

พิจารณาจากการที่จีนอยู่ในฐานะเหนือกว่าอย่างชัดเจนในเรื่องเทคโนโลยีอาวุธไฮเปอร์โซนิก (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://asiatimes.com/2023/02/chinas-hypersonic-triad-pressing-down-on-us/) ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นจุดซึ่งน่าจะตกเป็นเป้าหมายสำหรับภารกิจรวบรวมข่าวกรองของจีนในครั้งนี้ พวกเขาต้องการทราบว่าอเมริกันกำลังจะเข้าทำสงครามจริงหรือไม่ และถ้าหากเป็นจริง มันจะเป็นสงครามเพื่อต่อสู้กับใคร และจีนจะได้รับผลกระทบจากสงครามนี้ขนาดไหน

เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องรบกวนใจ และในส่วนของคณะบริหารก็ต้องถือเป็นความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าในการกระทำหน้าที่ป้องปราม บอลลูนนรกลูกนี้สมควรที่จะสอยให้ร่วงลงมาตั้งแต่มันยังลอยอยู่เหนือหมู่เกาะอะลูเชียน ในอะแลสกา แล้ว ไม่ใช่หลังจากที่มันล่องลอยมาไกลแทบตลอดทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือเช่นนี้

อย่างไรก็ดี การที่บอลลูนสปายลูกนี้ปรากฏตัวเหนือฟากฟ้าอเมริกัน ยังไม่ใช่หมายความว่า มันเป็นโลกาวินาศแล้ว

เตรียมตัวให้พร้อมแต่ก็มีความรับผิดชอบ

อเมริกาต้องมีความระแวดระวังรอคอยเวลาที่จีนเสาะแสวงหาทางในการพลิกคว่ำระเบียบระหว่างประเทศในปัจจุบันด้วยการใช้กำลัง –ซึ่งผมเองเชื่อว่าจีนจะกระทำ แต่วอชิงตันก็ต้องสร้างความสมดุลระหว่างความจำเป็นที่จะต้องระแวดระวัง กับความรับผิดชอบในการธำรงรักษาเสถียรภาพเอาไว้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะกระทำได้ –โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีความสำคัญยิ่งยวดอย่างช่วงเวลานี้

สิ่งสุดท้ายที่เราต้องการทำคือการเลือกเข้าสู้รบกับรัสเซียและจีนที่ติดอาวุธนิวเคลียร์กันทั้งคู่ในช่วงเวลาเดียวกัน วอชิงตันต้องเตรียมพร้อมเพื่อการทำสงครามโดยไม่ต้องยั่วยุให้เกิดสงครามขึ้นมา มันถึงเวลาแล้วสำหรับฝ่ายอเมริกันที่จะต้องตระหนักยอมรับว่าเรากำลังอยู่ในช่วงขณะอย่างใหม่ในทางภูมิรัฐศาสตร์ และจะต้องตระหนักยอมรับว่าการกระทำต่างๆ ของจีน ในขณะที่ส่งผลรบกวนความสงบสุขภายในประเทศของเรานั้น มันยังคงเป็นเรื่องปกติในบริบทของความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจใหญ่

เราจะกระทำสิ่งเดียวกันนี้กับจีน และพวกเขาก็จะต้องโกรธเกรี้ยวเราในทำนองเดียวกัน

อเมริกาต้องทำงานให้ดีขึ้นอีกในเรื่องการปกป้องน่านฟ้าของตน และในการป้องปรามพฤติกรรมในอนาคตโดยไม่ได้ทำให้มันบานปลายขยายตัวจนเข้าสู่พื้นที่แห่งความไร้เหตุผล ซึ่งจากเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ พวกเราทั้งหมดดูเหมือนกำลังมุ่งหน้าเข้าไป

ท้ายที่สุดแล้ว ชาวอเมริกันต้องตระหนักยอมรับว่า ในฐานะที่เราเป็นมหาอำนาจใหญ่รายหนึ่ง พฤติกรรมของเราและคำพูดของเรานั้นมีผลกระทบกระเทือนต่อโลก เราไม่ควรรู้สึกประหลาดใจอะไรเมื่อโลกแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งที่เราพูดสิ่งที่เรากระทำ มากไปกว่าที่พวกปรปักษ์ของเราควรรู้สึกถูกหยามหมิ่น เมื่อเราตอบโต้สิ่งต่างๆ อันก่อให้เกิดปัญหาจากสิ่งที่พวกเขากระทำและพูดออกมา

ขอต้อนรับสู้การแข่งขันระหว่างมหาอำนาจใหญ่ในศตวรรษที่ 21 เปิดยิ้มให้กว้างๆ และแบกรับมันเอาไว้

แบรนดอน เจ ไวเชิร์ต เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Winning Space : How America Remains a Superpower และ The Shadow War : Iran’s Quest for Supremacy (ทั้งคู่ตีพิมพ์โดย Republic Book Publishers) และเรื่อง Biohacked : China’s Race to Control Life (Encounter Books)
กำลังโหลดความคิดเห็น