ญี่ปุ่นอนุมัติยกเครื่องนโยบายป้องกันประเทศครั้งใหญ่ในวันศุกร์ (16 ธ.ค.) ในนั้นรวมถึงเพิ่มการใช้จ่ายด้านความมั่นคงขึ้นอย่างมากและเสริมแสนยานุภาพด้านอาวุธพิสัยไกล ในขณะที่พวกเขาส่งเสียงเตือนว่าจีนเสี่ยงเป็นความท้าทายทางยุทธศาสตร์ต่อความมั่นคงของพวกเขา ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความเคลื่อนไหวที่ได้รับเสียงชื่นชมจากสหรัฐฯ ว่าเป็นการส่งเสริมสันติภาพและความรุ่งเรือง
ในความเคลื่อนไหวยกเครื่องกลาโหมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายทศวรรษ ญี่ปุ่นประกาศเพิ่มการใช้จ่ายด้านความมั่นคงเป็น 2% ของจีดีพีในปี 2027 ปรับโฉมกองบัญชาการทหารและจัดซื้อขีปนาวุธใหม่ที่สามารถโจมตีฐานยิงของฝ่ายศัตรูที่อยู่ในระยะไกล
นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ กล่าวระหว่างแถลงข่าวว่าเขา "มีความตั้งใจรักษาไว้ซึ่งความมุ่งมั่นในภารกิจของเราในการปกป้องและป้องกันประเทศและประชาชน ณ จุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ในคราวนี้"
"เป็นที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า บรรดาประเทศและภูมิภาคเพื่อนบ้านของเรากำลังเสริมศักยภาพขีปนาวุธนิวเคลียร์ ยกระดับกองทัพอย่างรวดเร็ว และพยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยใช้กำลัง" เขากล่าว โดยหยิบยกการรุกรานยูเครนของรัสเซีย เป็นตัวอย่างของช่วงเวลาที่ท้าทาย
ผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่าประชาชนชาวญี่ปุ่นจำนวนมากสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงใดๆ จะยังคงเป็นที่ถกเถียง เพราะว่ารัฐธรรมนูญหลังสงครามของญี่ปุ่นไม่ได้รับรองอย่างเป็นทางการต่อการมีกองทัพและจำกัดพวกเขาจากการมีศักยภาพในการทำสงคราม เว้นแต่เพื่อป้องกันตนเอง
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวปรากฏอยู่ในเอกสารด้านป้องกันตนเองและความมั่นคง 3 ฉบับ ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในวันศุกร์ (16 ธ.ค.)
พวกเขาให้คำจำกัดความปักกิ่งว่าเป็น "ความท้าทายทางยุทธศาสตร์ใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ต่อการรับประกันสันติภาพและเสถียรภาพของญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเป็นความกังวลร้ายแรงสำหรับญี่ปุ่นและประชาคมนานาชาติ"
เพื่อตอบสนองต่อสิ่งนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นมีแผนเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็น 2% ของจีพีดีในปีงบประมาณ 2027 ซึ่งนำพางบประมาณกลาโหมของญี่ปุ่นอยู่ในระดับเดียวกับที่นาโต้กำหนดกรอบคำแนะนำแก่บรรดาชาติสมาชิก
ตัวเลขดังกล่าวถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างมาจากการใช้จ่ายระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราวๆ 1% และโหมกระพือเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับแนวทางใช้จ่ายเงินดังกล่าว
เงินจำนวนนี้จะถูกนำเป็นสนับสนุนโครงการต่างๆ ในนั้นรวมถึงจัดซื้อในสิ่งที่ทางญี่ปุ่นเรียกว่า "ศักยภาพในการโจมตีตอบโต้" หรือความสามารถใช้การโจมตีฐานยิงต่างๆ ที่เป็นภัยคุกคามของประเทศ และในเอกสารเตือนว่าระบบสกัดกั้นขีปนาวุธในปัจจุบันของญี่ปุ่น ไม่มีศักยภาพเพียงพอ ส่วน คิชิดะ บอกว่าแสนยานุภาพการโจมตีตอบโต้ "จะเป็นสิ่งจำเป็นในอนาคต"
ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นบ่งชี้มานานว่าศักยภาพการโจมตีตอบโต้เพื่อกำจัดการโจมตีของศัตรูจะได้รับอนุญาตภายใต้รัฐธรรมนูญของประเทศ แต่ที่ผ่านมา พวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นเท่าไหร่ในการได้มาซึ่งแสนยานุภาพดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ท่ามกลางการยกระดับด้านการทหารของจีนที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ และการยิงขีปนาวุธเป็นชุดๆ ของเกาหลีเหนือ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ในนั้นรวมถึงเป็นการยิงข้ามน่านฟ้าของญี่ปุ่น
กระนั้นในการพาดพิงถึงประเด็นอ่อนไหวดังกล่าว เอกสารปฏิเสธความเป็นไปได้ของการชิงโจมตีก่อน และยืนกรานว่า ญี่ปุ่นมุ่งมั่นในนโยบายเชิงป้องกันอย่างครอบคลุมเท่านั้น "ญี่ปุ่นยึดมั่นในหลักการที่ไม่ใช่นิวเคลียร์สามประการ ในนโยบายป้องกันตนเองเฉพาะเจาะจงและการเดินหน้าในฐานะประเทศสันติจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง" คิชิดะ กล่าว
แสนยานุภาพการโจมตีตอบโต้นั้นจะเกี่ยวข้องกับทั้งการปรับปรุงยกระดับอาวุธที่ญี่ปุ่นมีในปัจจุบัน และการจัดซื้อขีปนาวุธโทมาฮอว์กของสหรัฐฯ ท่ามกลางข่าวลือว่าพวกเขามีแผนจัดซื้อสูงสุด 500 ระบบ ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ นั้น มีทั้งจัดตั้งกองบัญชาการร่วมถาวรสำหรับกองทัพญี่ปุ่น เช่นเดียวกับเสริมศักยภาพยามชายฝั่งของประเทศ
ในบรรดาเอกสารด้านป้องกันตนเองและความมั่นคง ในนั้นรวมถึงยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งได้รับการปรับปรุงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2013 และได้มีการปรับภาษาในด้านความสัมพันธ์กับจีนและรัสเซียแข็งกร้าวยิ่งขึ้น
เอกสารด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติที่ผ่านมา ระบุว่าญี่ปุ่นจะแสวงหา "ความเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่มีผลประโยชน์ร่วมกันกับปักกิ่ง" ซึ่งถ้อยคำนี้ได้หายไปจากเอกสารยุทธศาสตร์ล่าสุด และถูกแทนแทนด้วยคำว่า "ความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์และมั่นคง และการสื่อสารที่ดีกว่าเดิม"
อีกด้านหนึ่ง ในขณะที่เอกสารเรียกร้องดังเดิมให้กระชับความสัมพันธ์และความร่วมมือกับรัสเซีย แต่ฉบับล่าสุดได้เตือนว่าท่าทีทางทหารของมอสโกในเอเชียและความร่วมมือระหว่างรัสเซียกับจีน "เป็นความกังวลด้านความมั่นคงใหญ่หลวง"
กระทรวงการต่างประเทศของจีนในวันศุกร์ (16 ธ.ค.) เรียกร้องญี่ปุ่นตรึกตรองทบทวนนโยบายต่างๆ ของพวกเขา "ญี่ปุ่นไม่ได้พิจารณาข้อเท็จจริง เบี่ยงเบนไปจากความเข้าใจร่วมกันระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และพันธสัญญาของพวกเขาต่อความสัมพันธ์ทวิภาคี และดิสเครดิตจีน" โฆษกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในทางกลับกัน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ บอกว่าวอชิงตันรู้สึกยินดีต่อความเคลื่อนไหวส่งเสริมสันติภาพและความรุ่งเรืองของญี่ปุ่น "สหรัฐฯ ยืนหยัดเคียงข้างญี่ปุ่นในช่วงเวลาที่สำคัญนี้ พันธมิตรของเราคือเสาหลักแห่งอินโด-แปซิฟิกที่เสรีและเปิดกว้าง" เขาเขียนบนทวิตเตอร์
(ที่มา : เอเอฟพี)