นางแนนซี เพโลซี ผู้หญิงคนแรกที่ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฏรสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต ในวันพฤหัสบดี (17 พ.ย.) ประกาศสละบทบาทในฐานะผู้นำพรรค หนึ่งวันหลังจากรีพับลิกันครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร และขอส่งไม้ต่อแก่คนรุ่นใหม่
"ฉันจะไม่ขอลงสมัครลงคัดเลือกเป็นแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสชุดหน้า" เพโลซี กล่าวในสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกในอาคารรัฐสภา "มันถึงเวลาสำหรับคนรุ่นใหม่ที่จะก้าวขึ้นมานำพรรคเดโมแครต"
พันธมิตรของเพโลซี รุดออกมาหนุนหลังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฮาคี เจฟฟรีส์ อย่างรวดเร็วให้เป็นผู้สืบทอดของเธอ ในฐานะผู้นำพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ในขณะที่รีพับลิกันเตรียมแต่งตั้งประธานสภาผู้แทนราษฎรคนใหม่จากพรรคของพวกเขา ซึ่งคาดหมายว่าจะคอยขัดขวางวาระทางกฎหมายต่างๆ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
เพโลซี นักการเมืองหัวเสรีวัย 82 ปี จากแคลิฟอร์เนีย แถลงเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งนี้ระหว่างปราศรัยในที่ประชุมสภา เรียกเสียงปรบมือจากพรรคเดโมแครต แม้รีพับลิกันจำนวนมากตัดสินใจไม่เข้าร่วม อย่างไรก็ตามเธอบอกว่าจะยังไม่ปลดเกษียณจากสภาผู้แทนราษฎร โดยจะยังคงทำหน้าที่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากซานฟรานซิสโก แบบเดียวกับที่เธอทำมาตลอด 35 ปี
ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎร นางเพโลซีมีบทบาทสำคัญในการประคับประคองวาระทางกฎหมายของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต 2 คน ผ่านสภาคองเกรส เธอช่วยผ่านกฎหมายประะกันสุขภาพขึ้นชื่อของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ในปี 2010 เช่นเดียวกับกฎหมายเพิ่มการใช้จ่ายด้านโครงสร้างพื้นฐานและภาวะโลกร้อน รวมถึงกฎระเบียบการใช้อาวุธปืน ในสมัยของประธานาธิบดีโจ ไบเดน
นอกจากนี้ เธอยังทำหน้าที่เป็นประธานกระบวนการของสภาผู้แทนราษฎร ในการถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในปี 2019 และ 2021
ไบเดน ระบุในถ้อยแถลงเรียกนางเพโลซี ว่าเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ "ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของเรา"
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต มีกำหนดโหวตเลือกผู้นำในวันที่ 30 พฤศจิกายน และหาก เจฟฟรีส์ จากนิวยอร์ก ได้รับเลือก เขาจะกลายเป็น ส.ส.ผิวสีรายแรกที่ก้าวมาเป็นผู้นำพรรคการเมือง 1 ใน 2 พรรคใหญ่ในสภาคองเกรส ขณะที่ สเตนี โฮเยอร์ ผู้นำหมายเลข 2 ของพรรคเดโมแครตในสภาผู้แทนราษฎร ให้การสนับสนุน เจฟฟรีส์ ในตำแหน่งผู้นำพรรค และเลือกที่จะไม่เสาะแสวงหาตำแหน่งผู้นำในสภาคองเกรสชุดถัดไป
ตามหลังศึกเลือกตั้งกลางเทอมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ท้ายที่สุดในวันพุธ (16 พ.ย.) รีพับลิกันก็ตอกตะปูปิดผาโลงครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้สำเร็จ ในสภาคองเกรสชุดถัดไปที่มีกำหนดสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 3 มกราคม
ด้วยที่เดโมแครตยังครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา ดังนั้น จึงคาดหมายว่าสภาคองเกรสจะเต็มไปด้วยความแตกแยก การผ่านร่างกฎหมายต่างๆ แม้กระทั่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด อย่างเช่นงบประมาณของรัฐบาล เสี่ยงตกอยู่ในความไม่แน่นอน ในขณะที่รีพับลิกันเองได้ประกาศกร้าวว่ามีแผนใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเปิดการสืบสวนรัฐบาล และครอบครัวของไบเดน
เพโลซี กล่าวสุนทรพจน์ที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก เรียกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ว่าเป็นลานศักดิ์สิทธิ์ และย้อนความทรงจำครั้งที่เดินทางมายังอาคารรัฐสภาเป็นครั้งแรกสมัยยังเป็นเด็ก ครั้งที่บิดาของเธอสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภาคองเกรส
เธอยังได้ย้อนความหลังในการทำงานร่วมกับประธานาธิบดี 3 คน ประกอบด้วย จอร์จ ดับเบิลยู.บุช จากรีพับลิกัน เช่นเดียวกับ โอบามา และไบเดน จากเดโมแครต แต่เธอไม่พาดพิงถึง ทรัมป์ ยกเว้นแต่พูดถึงเหตุโจมตีอาคารรัฐสภาเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 โดยฝีมือของบรรดาผู้สนับสนุนทรัมป์
เพโลซี ได้พูดถึงกรณีที่ผู้หญิงมีบทบาทและจำนวนเพิ่มมากขึ้นในรัฐสภา นับตั้งแต่เธอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเป็นครั้งแรกในปี 1987 เธอครองตำแหน่งผู้หญิงที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุดและเป็นผู้หญิงที่มาจากการเลือกตั้งที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ จนกระทั่ง กมลา แฮร์ริส ก้าวขึ้นมาเป็นรองประธานาธิดีในเดือนมกราคม 2021 นอกจากนี้ เธอยังช่วยพรรคจำกัดวงความพ่ายแพ้ในศึกเลือกตั้งกลางเทอม โดยพรรคเดโมแครตสูญเสียเก้าอี้ในสภาผู้แทนราษฎรน้อยกว่าที่คาดหมายไว้
ก่อนหน้าการประกาศสละตำแหน่งผู้นำพรรค เพโลซีเคยเปิดเผยว่าเหตุทำร้ายร่างกาย พอล สามีของเธอเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม โดยผู้บุกรุกกวัดแกว่งค้อนซึ่งมีแรงจูงใจทางการเมือง ภายในบ้านพักของพวกเขาในซานฟรานซิสโก เป็นหนึ่งในปัจจัยในการตัดสินใจของเธอ
(ที่มา : รอยเตอร์/เอเอฟพี)