xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตการเมืองอังกฤษกระทบ ‘แผนไบเดน’ ที่เรียกร้องให้ ‘ยูเครน’ สร้างผลงานในสนามรบ ก่อนสหรัฐฯ เลือกตั้งกลางเทอม 8 พ.ย.นี้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: เอ็ม เค ภัทรกุมาร ***


ระบบจรวดหลายลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุกที่มีความแม่นยำสูงและเคลื่อนไหวคล่องตัว HIMARS ซึ่งสหรัฐฯ จัดส่งมาให้ยูเครนในเดือน ต.ค.นี้ (ภาพจากทวิตเตอร์) ทั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศเซียร์เก ลาฟรอฟ ของรัสเซีย แถลงในวันที่ 18 ต.ค.ว่า ปรากฏหลักฐานมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า บุคลากรทางทหารของสหรัฐฯ และชาติตะวันตกอื่นๆ กำลังเข้ามาปฏิบัติการอยู่ในแผ่นดินยูเครน
Ukraine war is ‘Biden’s war’ now
BY M. K. BHADRAKUMAR

สถานการณ์ในเมืองเคียร์ซอนนั้น อยู่ในสภาพของการประจันหน้ากันทางทหารขนาดใหญ่โต โดยที่ เซเลนสกี กำลังทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปที่นั่นในความพยายามที่จะช่วงชิงอำนาจควบคุมเหนือเมืองทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ให้ได้ก่อนที่พวกผู้ออกเสียงชาวอเมริกันจะไปหย่อนบัตรเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พ.ย.นี้ ตามที่ ไบเดน แสดงความปรารถนา ขณะที่ พล.อ.ซูโรวิกิน ผู้บัญชาการการปฏิบัติการของรัสเซียในยูเครน ก็ยอมรับว่า ที่นั่นมีอันตรายมาก โดยมีข้อมูลว่าฝ่ายเคียฟจะใช้วิธีการต้องห้ามต่างๆ อย่างเช่น การเตรียมขีปนาวุธขนาดใหญ่เพื่อโจมตีเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟสกายา ที่อยู่ใกล้ๆ เมืองดังกล่าว

ทำไมรัฐมนตรีกลาโหมสหราชอาณาจักร เบน วอลเลซ (Ben Wallace) จึงต้องรีบร้อนขึ้นเครื่องบินเดินทางไปกรุงวอชิงตันเมื่อวันอังคาร (18 ต.ค.) ที่ผ่านมา? คำอธิบายที่พอจะมองเห็นกันได้ชัดที่สุดสำหรับการเดินทางอย่างมีปริศนาเที่ยวนี้ก็คือ วอลเลซกำลังรีบไปขอความสนับสนุนจากคณะบริหารไบเดน ในเรื่องที่เขาจะลงแข่งขันเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีคนถัดไปของสหราชอาณาจักร สืบต่อจาก ลิซ ทรัสส์ แต่คำอธิบายอีกอย่างหนึ่งที่ฟังดูน่าเชื่อถือก็คือ ทริปเดินทางอย่างปิดลับและเร่งด่วนคราวนี้เป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า ช่วงขณะแห่งการชี้ชะตาอย่างสำคัญมากครั้งหนึ่งของการสู้รบขัดแย้งในยูเครนกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว ในเวลาเดียวกับที่การสู้รบขัดแย้งนี้ก็กำลังแสดงสัญญาณอย่างชัดเจนทุกๆ ประการว่า มันกำลังเปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นสงครามแบบสู้รบกันอย่างเต็มพิกัด

แน่นอนอยู่แล้วว่า ทีมไบเดนไม่สามารถนิ่งสงบอยู่เฉยๆ แต่ต้องรู้สึกวิตกกังวลต่อการที่ลอนดอนกำลังลอยเคว้งคว้างเข้าสู่ความอลหม่านวุ่นวาย และพวกผู้นำฝักฝ่ายต่างๆ ของพรรคคอนเซอร์เวทีฟ พากันลนลานเพ่นพ่านไปรอบๆ ราวกับพวกไก่ที่ปราศจากหัว เที่ยวมองหาคนที่จะมาแทนที่ ทรัสส์ ซึ่งประกาศลาออกจากตำแหน่งเมื่อวันพฤหัสบดี (20 ต.ค.)

เศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรเวลานี้กำลังพังทลายออกเป็นเสี่ยงๆ และ เจเรมี ฮันต์ (Jeremy Hunt) รัฐมนตรีคลังคนใหม่คาดการณ์ว่า การตัดลดงบประมาณด้านกลาโหมลงมาคงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นก็คือ การทำอะไรตามใจชอบอย่างสนุกสนานร่าเริงในกรุงเคียฟ ของพวกสถาบันและบุคลากรทรงอำนาจที่อยู่เบื้องลึกลงไปของรัฐ (Deep State ดีปสเตต) เป็นเรื่องที่แบกรับกันไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว สหราชอาณาจักรกำลังบ่ายหน้ามุ่งไปสู่ห้วงเวลาแห่งความยากลำบาก และแนวความคิดที่ถือกันว่าสำคัญมากอย่าง “Global Britain” ก็เลยแลดูเหมือนเป็นเพียงอาการจิตหลอนเท่านั้น

(Global Britain เป็นนโยบายด้านการต่างประเทศที่รัฐบาลพรรคอนเซอร์เวทีฟเสนอขึ้นมา ขณะทำตามผลประชามติด้วยการนำเอาสหราชอาณาจักรถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป หริอ “เบร็กซิต” Brexit นโยบายนี้มุ่งเน้นย้ำว่าประเทศนี้จะต้องไม่กลายเป็นพวกมุ่งมองแต่ภายในประเทศภายหลังเบร็กซิต แต่จะต้องมองไปทั่วโลก และต้องไปให้ไกลเกินกว่าแค่ยุโรปด้วย ทั้งนี้สามารถกล่าวได้ว่า นโยบายเช่นนี้เป็นพื้นฐานที่ทำให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรยังคงพยายามแสดงบทบาทในทั่วโลก ไม่ว่าในเอเชีย หรือในยูเครน ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://commonslibrary.parliament.uk/research-briefings/cdp-2021-0002/ -ผู้แปล)

ประธานาธิบดีไบเดน เข้ามาแสดงบทบาทในจังหวะเวลานี้แหละ รายงานหลายๆ กระแสจากมอสโกบ่งบอกให้ทราบว่า ฝ่ายรัสเซียมีข่าวกรองอันหนักแน่นซึ่งชี้ไปในทิศทางว่า วอชิงตันกำลังเรียกร้องให้ประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน แสดงผลงานอันน่าตื่นตาตื่นใจบางอย่างบางประการขึ้นมาในสมรภูมิการสู้รบ ในช่วงเวลาที่สหรัฐฯ กำลังใกล้จะจัดการเลือกตั้งกลางเทอมในวันที่ 8 พฤศจิกายนนี้

(การเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ คราวนี้ จะมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภา เลือกตั้งวุฒิสมาชิก 35 คนจากทั้งสภาสูงที่มีสมาชิกรวม 100 คน และเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐ ตลอดผู้ว่าการดินแดนที่ขึ้นกับรัฐบาลกลางรวม 39 แห่ง รวมทั้งมีการเลือกตั้งในระดับรัฐและในระดับท้องถิ่นอีกด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/2022_United_States_elections -ผู้แปล)

แล้วก็มีความคิดเห็นที่ฟังดูลึกลับจาก เจมส์ ฮีปเพย์ (James Heappey) รัฐมนตรีช่วยคนหนึ่งในกระทรวงกลาโหมที่ลอนดอน ซึ่งกล่าวว่า การสนทนาที่ วอลเลซ จะไปพูดคุยในวอชิงตันนั้น เป็นการสนทนาที่ “เกินเลยไปกว่าที่จะเชื่อกัน” อันเป็นมุ่งชี้อย่างเป็นนัยๆ ว่า ระเบียบวาระที่ วอลเลซ ไปพูดคุยคราวนี้จะเป็นประเด็นที่อ่อนไหวและสาหัสจริงจังเป็นพิเศษทีเดียว

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ภายหลังเดินทางถึงวอชิงตันแล้ว วอลเลซ ตรงแน่วไปทำเนียบขาวเพื่อพบปะหารือกับ เจค ซัลลิแวน (Jake Sullivan) ที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นบุคคลที่ ไบเดน วางตัวให้เป็นคนดูแลเรื่องสงครามยูเครน ตามเอกสารสรุปย่อการสนทนาที่เผยแพร่โดยทำเนียบขาวระบุเอาไว้ว่า เจ้าหน้าที่ทั้งสอง “ได้แลกเปลี่ยนทัศนะต่างๆ ในเรื่องผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติซึ่งเป็นที่สนใจร่วมกัน รวมทั้งเรื่องยูเครน ทั้งคู่เน้นย้ำถึงพันธะผูกพันของทั้งสองประเทศในการจัดหาความช่วยเหลือด้านความมั่นคงให้แก่ยูเครน ขณะที่ยูเครนกำลังป้องกันตนเองจากความก้าวร้าวรุกรานของรัสเซีย”
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2022/10/18/readout-of-national-security-advisor-jake-sullivans-meeting-with-united-kingdom-secretary-of-state-for-defence-ben-wallace/)

ขณะที่การเมืองสหราชอาณาจักรเข้าสู่ระยะแห่งการเดินหมากชิงไหวชิงพริบกันอย่างดุเดือด ซึ่งอาจลากยาวออกไปเป็นแรมเดือน สหรัฐฯ ก็จะต้องกลายเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายหนึ่งไปด้วย ตามประวัติศาสตร์แล้วนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สหราชอาณาจักรคือผู้ที่นำพาสหรัฐฯ ออกมาจากการยืนอยู่ในมุมมืดด้านหลังๆ ในสถานการณ์สำคัญยิ่งยวดครั้งต่างๆ ซึ่งมีรัสเซียเกี่ยวข้องอยู่ด้วย

อันที่จริง ไบเดนได้ออกคำแถลงฉบับหนึ่งเกี่ยวกับการอำลาจากไปของ ทรัสส์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีใครทำกัน โดยเขาเน้นย้ำว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเป็น “พันธมิตรที่แข็งแกร่ง และเป็นเพื่อนมิตรกันที่คงทนยืนยาว –และข้อเท็จจริงนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง” เขาขอบคุณเธอ “สำหรับความเป็นหุ้นส่วนของเธอในประเด็นปัญหาต่างๆ หลายหลาก รวมทั้งเรื่องการยืนยันว่ารัสเซียต้องแสดงความรับผิดสำหรับการทำสงครามต่อต้านยูเครน” ไบเดนย้ำว่า “เราจะรักษาความร่วมมืออันใกล้ชิดที่เรามีอยู่กับรัฐบาลสหราชอาณาจักรเอาไว้ต่อไป ขณะที่พวกเราทำงานร่วมกันเพื่อเผชิญกับความท้าทายระดับโลกต่างๆ ที่ชาติของพวกเราประสบอยู่
(ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.whitehouse.gov/briefing-room/statements-releases/2022/10/20/statement-from-president-joe-biden-on-the-resignation-of-prime-minister-liz-truss-of-the-united-kingdom/)

นี่คือ ไบเดน กำลังส่งข้อความที่ทรงพลังไปถึงชนชั้นทางการเมืองของสหราชอาณาจักร เป็นการส่งสัญญาณว่า เขาคาดหมายว่าพวกเขาจะได้ข้อสรุปออกมาในรูปของการเสนอนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผู้ซึ่งจะยึดมั่นปฏิบัติตามอย่างซื่อสัตย์ในเข็มทิศนำทางเรื่องยูเครน ที่กำหนดขึ้นมาโดย บอริส จอห์นสัน ทั้งนี้ หากจะว่ากันถึงเงื่อนไขต่างๆ ในเฉพาะหน้านี้ เรื่องนี้จะส่งสัญญาณอย่างไรต่อโปรเจกต์ของอังกฤษ-อเมริกันในเคียร์ซอน (Kherson)? มันยังจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่? นี่เป็นคำถามใหญ่โตทีเดียว

สถานการณ์ในเคียร์ซอนนั้น ได้รับการสันนิษฐานว่าอยู่ในสภาพของการประจันหน้ากันทางทหารขนาดใหญ่โต โดยที่ เซเลนสกี กำลังทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปที่นั่นในความพยายามที่จะช่วงชิงอำนาจควบคุมเหนือเมืองเคียร์ซอนซึ่งทรงความสำคัญทางยุทธศาสตร์ แต่ตกอยู่กำมือของฝ่ายรัสเซียมาตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยที่ เคียฟ มุ่งมั่นจะตีเมืองนี้ให้ได้ก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมในสหรัฐฯ

ระหว่างการแถลงข่าวที่กรุงมอสโกเมื่อวันอังคาร (18 ต.ค.) พลเอกทหารบก เซียร์เก ซูโรวิกิน (Sergei Surovikin) ผู้เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการยุทธบริเวณสำหรับการปฏิบัติการในยูเครน (theatre commander for Ukraine operations) กล่าวยอมรับว่ามีอันตรายที่กองกำลังฝ่ายยูเครนจะรุกตีเข้ามายังเมืองเคียร์ซอน ซึ่งก็เป็นเมืองเอกของแคว้นชื่อเดียวกัน

แผนที่แสดงที่ตั้งเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟกา หรือคาคอฟสกายา ในแคว้นเคียร์ซอน ทางภาคใต้ของยูเครน
ตามคำพูดของนายพลผู้นี้ เขาบอกว่า “สถานการณ์ที่ยากลำบากเพิ่งเกิดขึ้นมา พวกศัตรูเจตนาถล่มระเบิดใส่โครงสร้างพื้นฐานและพวกอาคารที่พักอาศัยในเคียร์ซอน สะพานอันโตนอฟสกี (Antonovsky Bridge) และเขื่อนของสถานีไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟสกายา (Kakhovskaya hydroelectric power station) ได้รับความเสียหายจากขีปนาวุธของระบบจรวดหลายลำกล้อง HIMARS การสัญจรในบริเวณนั้นหยุดชะงัก

“ผลก็คือ การลำเลียงจัดส่งอาหารไปยังเมืองนั้นทำได้ด้วยความยากลำบาก แล้วยังมีปัญหาบางประการเกี่ยวกับการจ่ายน้ำประปาและไฟฟ้า ทั้งหมดเหล่านี้สร้างความยุ่งยากอย่างใหญ่โตให้แก่การดำเนินชีวิตของพลเมือง และก็เป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อชีวิตของพวกเขาอีกด้วย

ทางคณะผู้นำนาโต้ของกองทัพยูเครน เรียกร้องระบอบปกครองเคียฟมานานแล้วให้เปิดการปฏิบัติการรุกโจมตีเคียร์ซอน โดยไม่ต้องสนใจเรื่องการบาดเจ็บล้มตาย ... เรามีข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ระบอบปกครองในเคียฟจะใช้วิธีการต่างๆ ของสงครามซึ่งเป็นวิธีการที่ถูกระบุห้ามนำมาใช้ ในพื้นที่ของเมืองเคียร์ซอน – อย่างการเตรียมขีปนาวุธขนาดใหญ่เพื่อโจมตีใส่เขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำคาคอฟสกายา ขีปนาวุธขนาดมหึมาและโจมตีอย่างไม่มีการจำแนกแยกแยะ และการโจมตีด้วยปืนครก ปืนใหญ่ ตลอดจนจรวดใส่เมืองนี้ ...
(ทางฝ่ายยูเครนโดยประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ก็ได้ออกมากล่าวหาในวันที่ 20 ต.ค. ว่า กองทัพรัสเซียได้วางระเบิดเอาไว้ภายในเขื่อนคาคอฟกา ที่เมืองโนวาคาคอฟกา ในแคว้นเคียร์ซอน โดยมีแผนทำลายทิ้ง ซึ่งจะทำให้ภาคใต้ยูเครนต้องเผชิญกับน้ำท่วมครั้งใหญ่ พร้อมกับเรียกร้องฝ่ายตะวันตกให้ยับยั้งมอสโก ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.reuters.com/world/europe/ukraine-curbs-power-usage-after-russian-attacks-destroy-some-energy-plants-2022-10-19/ หรือที่เก็บความเป็นภาษาไทยแล้ว https://mgronline.com/around/detail/9650000101137 -ผู้แปล)

“ในสภาวการณ์เช่นนี้ เรื่องสำคัญลำดับแรกสุดของเราคือการสงวนรักษาชีวิตและสุขภาพของพลเมือง ด้วยเหตุนี้ กองทัพรัสเซีย ซึ่งก่อนอื่นใดเลยจะต้องให้ความมั่นใจในเรื่องความปลอดภัย จึงได้ออกประกาศไปแล้วให้ประชากรถอนตัวออกไป โดยเป็นไปตามโปรแกรมการตั้งถิ่นฐานกันใหม่ ซึ่งกำลังเตรียมการโดยรัฐบาลรัสเซีย แผนการและการปฏิบัติการต่อไปของเราเกี่ยวกับตัวเมืองเคียร์ซอนเองนั้น จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการทหาร-ยุทธวิธีในปัจจุบัน ผมขอย้ำนะครับ วันนี้มันก็ยากลำบากมากแล้ว (ใช้ตัวเน้นโดยผู้เขียน)

“ในกรณีใดๆ ก็ตาม อย่างที่ผมแถลงไปแล้ว เราจะเริ่มต้นจากความจำเป็นในการพิทักษ์ปกป้องชีวิตของพลเรือนและของทหารของเราให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราจะกระทำอย่างมีจิตสำนึกและในลักษณะที่ทันการณ์ทันเวลา โดยไม่มีการหลีกเลี่ยงละเลย แม้จะเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก” (ใช้ตัวเน้นโดยผู้เขียน)

ท่านที่สนใจสามารถชมคลิปบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ พล.อ.ซียร์เก ซูโรวิกิน กับสื่อมวลชนรัสเซีย (เป็นภาษารัสเซีย) ได้ที่ข้างล่างนี้ :

The full interview of Gen. Sergey Surovikin to Russian media is below:


ความคิดเช่นนี้ของทางเครมลิน ยังได้รับการขานรับในการแถลงขอความร่วมมือจากประชาชนของ วลาดิมีร์ ซัลโด (Vladimir Saldo) ผู้ว่าการแคว้นเคียร์ซอน โดยเขาอธิบายขยายความว่า การอพยพเพลเรือนออกไปไม่เพียงเพื่อความปลอดภัยของประชาชนเท่านั้น แต่ยังเพื่อให้ฝ่ายทหารมีเสรีภาพในการปฏิบัติการอีกด้วย

ซัลโด บอกว่า “พี่น้องร่วมชาติที่รักทั้งหลาย ผมต้องการพูดอีกครั้งหนึ่งว่ากองทัพของเรานั้นมีสมรรถนะต่างๆ ที่แข็งแกร่งสามารถขับไล่ไสส่งการโจมตีใดๆ ได้ทั้งนั้น แต่เพื่อให้ฝ่ายทหารของเราสามารถทำงานไปอย่างเงียบๆ และไม่ต้องคอยพะวงว่ามีพลเรือนอยู่ด้านหลังออกไปจากข้างหลังของพวกเขา ดังนั้น พวกคุณจึงต้องออกไปจากย่านที่อยู่อาศัยที่ผมระบุไปแล้วเหล่านี้ และอนุญาตให้ฝ่ายทหารทำงานของพวกเขาไปอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อให้พลเรือนเกิดการบาดเจ็บล้มตายน้อยลง อุดมการณ์ที่เราต่อสู้นั้นเป็นสิ่งที่ชอบธรรม และแน่นอนว่าเราจะเป็นผู้ชนะ!”

ข้อความที่ส่งกันออกมาตรงนี้ก็คือว่า ฝ่ายทหารรัสเซียกำลังเตรียมพร้อมเพื่อขยายขนาดขอบเขตของการสู้รบขัดแย้งในเคียร์ซอน ถ้าหากว่ามันมีความจำเป็นเกิดขึ้นมา ทั้งนี้ มีการพูดจากันเกี่ยวกับเรื่องที่รัสเซียจะเปิดการรุกครั้งมโหฬารในช่วงประมาณกลางเดือนพฤศจิกายน การที่ ปูติน ประกาศมาตรการรักษาความมั่นคงใหม่ๆ ในสัปดาห์นี้ และการจัดตั้งสภาเพื่อการร่วมมือประสานงานพิเศษขึ้นมาชุดหนึ่ง โดยที่มีนายกรัฐมนตรี มิคฮาอิล มิชูสติน (Mikhail Mishustin) เป็นประธาน เพื่อให้ความสนับสนุนสนองความต้องการต่างๆ ของกองทัพรัสเซียนั้น เป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่ากำลังมีการสร้างรากฐานเพื่อการทำสงครามในอนาคตข้างหน้า
(มาตรการรักษาความมั่นคงใหม่ๆ ที่ ปูติน ประกาศ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://tass.com/politics/1524971)
(การตั้งสภาเพื่อการร่วมมือประสานงานพิเศษ ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://tass.com/politics/1524957)

จุดสำคัญจุดหนึ่ง ซึ่ง พล.อ.ซูโรวิกิน พูดเอาไว้ในช่วงหนึ่งของการแถลงข่าวของเขา ได้แก่ตอนที่เขาบอกว่า “พวกศัตรูไม่ยอมเลิกล้มความพยายามที่จะเข้าโจมตีที่มั่นต่างๆ ของกองทหารรัสเซีย โดยพื้นที่ซึ่งน่ากังวลนั้น อันดับแรกก่อนอื่นเลย ได้แก่ ทิศทางเมืองคุปยันสก์ (Kupyansk) ในแคว้นคาร์คอฟ (Kharkov oblast) ทิศทางเมืองคราสโนลิมานสกี้ (Krasnolimansky) ในแคว้นโดเนตสก์ (Donetsk oblast) และทิศทางเมืองมิโคลาอิฟ (Mykolaiv) - เมืองครีวอย ร็อก (Krivoy Rog) ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แคว้นเคียร์ซอน ศัตรูของเราเป็นระบอบการปกครองของอาชญากรซึ่งกำลังเข่นฆ่าพลเมืองของยูเครน เรานั้นเป็นประชาชนหนึ่งเดียวกับชาวยูเครน และเราปรารถนาให้ยูเครนกลายเป็นรัฐซึ่งเป็นอิสระจากโลกตะวันตกและนาโต้ เป็นมิตรกับรัสเซีย ...(ใช้ตัวเน้นโดยผู้เขียน)

“ระบอบปกครองยูเครนกำลังพยายามที่จะเจาะทะลวงฝ่าแนวป้องกันของเรา เพื่อทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ กองทัพของยูเครนจึงกำลังดึงเอากองกำลังสำรองทั้งหมดเท่าที่จะหาได้ไปยังแนวหน้า กองกำลังเหล่านี้หลักๆ แล้วเป็นกองกำลังอาสารักษาดินแดนที่ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมอย่างเต็มที่สมบูรณ์ ในความเป็นจริงแล้ว คณะผู้นำของยูเครนกำลังส่งพวกเขาให้เผชิญกับการถูกทำลาย”

จากนั้นเขากล่าวต่อไปว่า “เรานั้นมียุทธศาสตร์ที่แตกต่างออกไป ท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุด (หมายถึงประธานาธิบดีปูติน) ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เราไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ได้ตัวเลขการบุกคืบหน้าที่สูงๆ เราดูแลเอาใจใส่ทหารทุกๆ คน และกำลัง “บดบี้” อย่างมีกระบวนวิธีต่อพวกศัตรูที่กำลังรุกเข้ามา นี่ไม่เพียงสามารถจำกัดความสูญเสียของเราเท่านั้น แต่ยังสามารถลดจำนวนพลเรือนที่บาดเจ็บล้มตายลงไปได้อย่างสำคัญอีกด้วย”

นั่นคือ เมื่อพูดกันอย่างเจาะจงแล้ว ขนาดขอบเขตของการปฏิบัติการพิเศษทางทหารคราวนี้ตามที่ได้มีการกำหนดเอาไว้ตั้งแต่ต้น โดยมุ่งโฟกัสไปที่ “การทำให้เกิดภาวะปลอดทหาร” (demilitarisation) และ “การทำให้เกิดภาวะปลอดนาซี” (denazification) ขึ้นมาในยูเครน ยังคงเหมือนเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง ขณะเดียวกันยังมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้เกิดการแทนที่ระบอบปกครองของ เซเลนสกีอีกด้วย

รัสเซียจะคอยเฝ้าดูอย่างฉลาดหลักแหลมถึงวิกฤตการณ์ทางการเมืองอันล้ำลึกที่กำลังพัฒนาไปในยุโรป โดยที่การปะทุตูมตามขึ้นมาในสหราชอาณาจักรถือเป็นลางบอกเหตุอย่างแรกๆ ซึ่งสามารถที่จะกัดกร่อนความสนับสนุนอันหนักแน่นมั่นคงที่สหราชอาณาจักรให้แก่เซเลนสกี ในเวลาเดียวกับที่ศักยภาพและผลประโยชน์ของฝ่ายตะวันตกในการทุ่มเทเงินทองเข้าประคับประคองเศรษฐกิจของยูเครน และเป็นเชื้อเพลิงเติมพลังให้แก่ความขัดแย้งทางทหารคราวนี้ ก็อาจจะอยู่ในภาวะเหือดแห้งจางคลายลงไป

กระนั้นก็ตามที ซูโรวิกิน ไม่ได้เลือกใช้วิธีพูดจาเปล่งคำขวัญปลุกใจที่เกินความจริง ตรงกันข้าม เขากลับเลือกที่จะสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาและสอดคล้องกับความเป็นจริง สิ่งที่เขาพูดยังเป็นการสะท้อนการจัดลำดับความสำคัญของปูติน ซึ่งอันดับต้นๆ อยู่ที่การใช้มาตรการและทรัพยากรทุกๆ อย่างที่จำเป็นให้สอดคล้องกับสถานการณ์การปฏิบัติการและสถานการณ์ทางยุทธวิธีในแนวหน้า โดยตั้งจุดมุ่งหมายสูงสุดอยู่ที่การรักษาชีวิตของทหารชาวรัสเซียและพลเรือนในท้องถิ่น

การแถลงของ พล.อ.ซูโรวิกิน ก่อให้เกิดความประทับใจว่า กองบัญชาการทหารของรัสเซียนั้นมีความพรักพร้อมรับมือกับพัฒนาการทุกๆ อย่างของสถานการณ์ในเคียร์ซอน –ทั้งในการถอนตัวตามยุทธวิธี และในการในสู้รบอย่างหนักหน่วงในเขตตัวเมือง

พิจารณาในแง่การเมืองแล้ว จากการที่สหราชอาณาจักรต้องจมลึกลงไปในหล่มโคลนภายในประเทศเช่นนี้ ไบเดนจึงเหลือทางเลือกที่จะต้องปรับเปลี่ยนหันมาใช้การทูต สงครามคราวนี้ ในเวลานี้มันกลายเป็น “สงครามของไบเดน” ไปแล้ว เขากำลังจะจารึกฝากฝังมรดกแห่งสมัยการเป็นประธานาธิบดีของเขาให้แก่ชนรุ่นหลังในอนาคต ในฐานะที่เป็นประธานาธิบดีอเมริกันคนที่ 5 จากทั้งหมด 14 คนนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา ที่มี “สงคราม” เป็นของตนเอง –ตามหลัง แฮร์รี ทรูแมน, ลินดอน จอห์นสัน, จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช และจอร์จ ดับเบิลยู บุช

เอ็ม.เค.ภัทรกุมาร เคยรับราชการเป็นนักการทูตอาชีพในกระทรวงการต่างประเทศอินเดียเป็นเวลากว่า 29 ปี ในตำแหน่งต่างๆ เป็นต้นว่า เอกอัครราชทูตอินเดียประจำอุซเบกิสถาน (ปี 1995-1998) และเอกอัครราชทูตอินเดียประจำตุรกี (ปี 1998-2001) ปัจจุบันเขาเขียนอยู่ในบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline)

ข้อเขียนชิ้นนี้มาจากบล็อก “อินเดียน พันช์ไลน์” (Indian Punchline) ดูต้นฉบับภาษาอังกฤษได้ที่ https://www.indianpunchline.com/ukraine-war-is-bidens-war-now/


กำลังโหลดความคิดเห็น