นักข่าวบีบีซีประจำเคียฟยังต้องขอหลบ เมื่อได้ยินเสียงขีปนาวุธดังใกล้ๆ ขณะกำลังรายงานข่าวออกอากาศ ทั้งนี้ รัสเซียปูพรมโจมตีด้วยขีปนาวุธร่อนใส่เมืองใหญ่ๆ ทั่วยูเครนรวมถึงกรุงเคียฟ ระหว่างชั่วโมงเร่งด่วนตอนเช้าวันจันทร์ (10 ต.ค.) ทำให้พลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 10 คน และโครงสร้างพื้นฐานทางด้านไฟฟ้า ประปา และก๊าซให้ความร้อนได้รับความเสียหายหนัก โดยที่ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ประกาศว่าเพื่อเป็นการแก้แค้นสำหรับการที่ฝ่ายยูเครนดำเนินการโจมตีแบบผู้ก่อการร้ายครั้งต่างๆ รวมทั้งการวินาศกรรมสะพานไครเมียเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประมุขเครมลินเตือนด้วยว่า แดนหมีขาวจะตอบโต้แรงกว่านี้อีก ถ้าเคียฟยังไม่เลิกพฤติการณ์เช่นนี้
ขีปนาวุธเหล่านี้ตกลงใส่สี่แยกต่างๆ ที่มีการสัญจรพลุกพล่าน สวนสาธารณะ และพวกสถานที่ท่องเที่ยวในบริเวณใจกลางกรุงเคียฟในระดับที่ไม่เคยพบเห็นกันเลยหลังจากที่รัสเซียใช้ความพยายามทว่าล้มเหลวในการบุกจู่โจมเข้ายึดเมืองหลวงของยูเครนในช่วงแรกของสงครามครั้งนี้
นอกจากนั้น ยังมีรายงานว่า เกิดการระเบิดในเมืองลวีฟ เตอร์โนปิล และซีโตมีร์ในภาคตะวันตกของยูเครน เมืองดนิโปร และเครเมนชุก ในภาคกลาง เมืองซาโปริซเซีย ทางภาคใต้ และเมืองคาร์คิฟ ทางภาคตะวันออก พวกเจ้าหน้าที่ยูเครนกล่าวว่ามีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 10 คน และบาดเจ็บอีกหลายสิบคน
ในช่วงบ่าย ปูตินได้ออกมาแถลงผ่านโทรทัศน์ กล่าวว่าเขาได้ออกคำสั่งให้โจมตีจากระยะไกล “อย่างมโหฬาร” ใส่เป้าหมายต่างๆ ทั้งทางด้านพลังงาน หน่วยสั่งการบังคับบัญชา และการสื่อสารของยูเครน โดยใช้ขีปนาวุธซึ่งมีทั้งที่ยิงจากทางอากาศ ทางทะเล และภาคพื้นดิน เพื่อเป็นการตอบโต้สิ่งที่เขาเรียกว่าการโจมตีแบบผู้ก่อการร้ายของยูเครน ซึ่งรวมถึงการระเบิดที่สะพานเชื่อมระหว่างแผ่นดินใหญ่รัสเซียกับแหลมไครเมียเมื่อวันเสาร์ (8) ด้วย
“ระบอบปกครองเคียฟ จากการกระทำของพวกเขา ได้พาตัวเองให้เข้าไปอยู่ในระดับเดียวกันกับพวกองค์การก่อการร้ายระหว่างประเทศ กับพวกกลุ่มที่น่ารังเกียจที่สุด การปล่อยให้พฤติการณ์ดังกล่าวผ่านไปโดยไม่มีการตอบโต้ย่อมเป็นเรื่องซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย” ปูติน บอกพร้อมกับเตือนว่า “ขอจงอย่าได้สงสัยกันอีกต่อไปเลย ถ้ายังมีความพยายามที่จะดำเนินการโจมตีแบบผู้ก่อการร้ายต่อไปแล้ว การตอบโต้จากรัสเซียจะยิ่งสาหัสรุนแรงขึ้นอีกอย่างแน่นอน”
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน กล่าวก่อนหน้านั้นว่า การโจมตีในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนและเป้าหมายในการโจมตีบ่งชี้ว่า รัสเซียจงใจเลือกเวลาเพื่อเข่นฆ่าพลเรือนยูเครนและต้องการทำให้เกิดความเสียหายมากที่สุด และสำทับในเวลาต่อมาว่า เป้าหมายการโจมตีหลักของรัสเซียคือ โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและประชาชน
ขณะที่นายกรัฐมนตรีของเขาระบุว่า เป้าหมายทางโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆ 11 แห่งถูกโจมตีในแคว้นต่างๆ รวม 8 แคว้น ทำให้หลายบริเวณของประเทศไม่มีไฟฟ้า น้ำประปา และก๊าซให้ความร้อน
กระทรวงกลาโหมยูเครนแถลงว่า รัสเซียยิงขีปนาวุธร่อนโจมตียูเครน 81 ลูก และระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสอยขีปนาวุธเหล่านั้นร่วง 43 ลูก ส่วนกระทรวงกลาโหมรัสเซียกล่าวว่า ได้โจมตีถูกเป้าหมายต่างๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ทั้งหมด
ด้าน ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนทวีตว่า กลยุทธ์เดียวของประธานาธิบดี ปูติน คือ การทำลายเมืองที่สงบสุขของยูเครน แต่จะไม่มีทางทำให้ยูเครนล่มสลายได้ และสำทับว่า นี่คือคำตอบสำหรับผู้ที่เรียกร้องเจรจาสันติภาพกับปูติน และย้ำว่า ปูตินเป็นผู้ก่อการร้ายที่เจรจาด้วยขีปนาวุธ
การโจมตีระลอกล่าสุดนี้เกิดขึ้น 2 วันหลังจากสะพานไครเมีย หรือสะพานข้ามช่องแคบเคิร์ช เกิดการระเบิดเสียหายหนัก ซึ่งปูตินประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (9) ว่า เป็นการก่อการร้ายที่ต้องการทำลายโครงสร้างพื้นฐานด้านพลเรือนที่สำคัญ
ในวิดีโอที่เผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มสื่อสังคม เทเลแกรม ประมุขวังเครมลินสำทับว่า การโจมตีดังกล่าววางแผน ดำเนินการ และสั่งการโดยหน่วยงานความมั่นคงของยูเครน
ทั้งนี้ ยูเครนไม่ได้ออกมาประกาศความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดดังกล่าว แต่มีการฉลองกันอย่างเปิดเผย ขณะที่เจ้าหน้าที่อาวุโสของรัสเซียเรียกร้องให้เครมลินตอบโต้อย่างรวดเร็วก่อนที่ปูตินจะประชุมสภาความมั่นคงในวันจันทร์
ผู้ดำเนินรายการทางทีวีของรัสเซียหลายคนเรียกร้องให้ตอบโต้อย่างรุนแรง โดยที่เหล่าผู้นำกองทัพก็ถูกวิจารณ์กว้างขวาง ขณะที่กองกำลังรัสเซียถูกตอบโต้จนต้องถอยร่นในสนามรบหลายแห่งในยูเครน
สะพานที่ถูกโจมตี ซึ่งปูตินเดินทางไปทำพิธีเปิดด้วยตนเอง เป็นเส้นทางสำคัญในการส่งกำลังบำรุงให้แก่กองกำลังรัสเซียซึ่งสู้รบอยู่ทางภาคใต้ของยูเครน และเป็นสัญลักษณ์การเข้าควบคุมไครเมียที่รัสเซียเข้าผนวกในปี 2014 หลังจากส่งทหารเข้ายึดโดยแทบไม่เสียเลือดเนื้อ
ดมิทรี เมดเวเดฟ รองประธานสภาความมั่นคงของรัสเซีย ประกาศก่อนการประชุมสภาฯ ว่า รัสเซียจะสังหาร “ผู้ก่อการร้าย” ที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีสะพานเชื่อมไครเมีย ซึ่งเป็นแนวทางที่ปฏิบัติกันทั่วโลกและเป็นสิ่งที่คนรัสเซียคาดหวังให้เกิดขึ้น
อนึ่ง เมื่อวันอาทิตย์ อเล็กซานเดอร์ บาสทรัยกิน ประธานคณะกรรมาธิการสอบสวนของรัสเซียที่ได้รับแต่งตั้งให้สอบสวนเหตุระเบิดนี้ แถลงว่า รถบรรทุกที่ถูกใช้เป็น “ทรัคบอมบ์” สร้างความเสียหายใหญ่ให้แก่สะพานไครเมียนั้น ก่อนจะมาก่อเหตุได้เดินทางผ่านบัลแกเรีย จอร์เจีย อาร์มิเนีย นอร์ทออสเซเทีย และเขตคราวโนดาร์ของรัสเซีย โดยมีพลเรือนรัสเซียและต่างชาติให้ความช่วยเหลือ
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, การ์เดียน)