xs
xsm
sm
md
lg

อย่าดีกว่า! สถาบันวิจัยเตือนกองทัพสหรัฐฯ ไม่เหนือกว่าจีน เลิกคิดใช้นิวเคลียร์ปกป้องไต้หวัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะเป็นผู้ชนะในการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์กับจีนจะเป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ จากรายงานฉบับหนึ่งของสถาบันวิจัยบรูกกิงส์ ซึ่งมีสำนักงานในวอชิงตัน ดี.ซี. พร้อมเตือนว่าด้วยที่อเมริกาสูญเสียความเหนือกว่าในด้านการทหารในเอเชียตะวันออกเมื่อเทียบกับจีน จึงทำให้เป็นงานยากยิ่งขึ้นในการปกป้องการโจมตีใดๆ ที่มีเป้าหมายเล่นงานไต้หวัน

ในขณะที่ในวอชิงตันเริ่มมีความกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจีนอาจใช้กำลังเข้าควบคุมไต้หวัน พล.อ.แอนโทนี คอตตอน ผู้ถูกเสนอชื่อให้เป็นผู้บัญชาการปฏิบัติการทางนิวเคลียร์ของเพนตากอน ให้ปากคำต่อคณะกรรมาธิการวุฒิสภาสหรัฐฯ เขาเห็นด้วยว่าการแข่งขันทางอาวุธนิวเคลียร์อาจช่วยป้องปรามความเคลื่อนไหวดังกล่าว

แต่รายงานของสถาบันวิจัยบรูกกิงส์ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคารที่แล้ว โต้แย้งว่า ในขณะที่การยกระดับแพร่ขยายทางนิวเคลียร์ของจีน อาจช่วยให้ปักกิ่งมีความมั่นใจมากขึ้นต่อการใช้กองกำลังทั่วไปที่ไม่ติดอาวุธนิวเคลียร์ แต่สำหรับสหรัฐฯ การทำสงครามใดๆ กับจีนเกี่ยวกับไต้หวัน "แทบหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยว่ามันจะเพิ่มความเสี่ยงขยายสถานการณ์ทางนิวเคลียร์ให้ลุกลามบานปลาย ทั้งโดยไม่ตั้งใจและโดยตั้งใจ"

รายงานของสถาบันวิจัยบรูกกิงส์บอกว่ามีอุปสรรคมากกว่าที่ขัดขวางสหรัฐฯ จากความเหนือกว่าทางนิวเคลียร์โดยสิ้นเชิง ในนั้นรวมถึงคำมั่นสัญญาของทำเนียบขาว ต่อยุทธศาสตร์รักษาเสียรภาพและควบคุมอาวุธนิวเคลียร์

"แม้กระทั่งสามารถข้ามผ่านอุปสรรคเหล่านี้ไปได้แล้ว บางทีสหรัฐฯ อาจผลิตหลุมพลูโตเนียมได้มีรวดเร็วเพียงพอที่จะแข่งขันกับจีน (ไม่ได้พาดพิงถึงรัสเซีย)" รายงานระบุ "และยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันทางนิวเคลียร์เต็มรูปแบบระหว่างบรรดามหาอำนาจผู้ผลิตลำดับต้นๆ ของโลก ดูเหมือนจะเป็นการดำเนินการที่เปล่าประโยชน์"

ผู้เขียนทำนายว่าคลังแสงนิวเคลียร์ที่เติบโตขึ้นของจีน จะนำมาซึ่งการคุมเชิงทางนิวเคลียร์ในรูปแบบสงครามเย็น และจะเป็นเรื่องดีกว่าสำหรับสหรัฐฯ ในการหันไปลงทุนเพิ่มเติมในด้านสงครามตามแบบ (Conventional Warfare)

ในแง่การป้องปรามทั่วไปโดยไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ (Conventional Deterrence) รายงานได้เตือนเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ดั้งเดิมของเพนตากอน ในการป้องปรามการรุกรานไต้หวันของจีนแผ่นดินใหญ่ ว่า "การป้องปรามด้วยการขัดขวางบนพื้นฐานของความเหนือกว่าของกองทัพสหรัฐฯ บางทีอาจยากมากๆ ที่จะบรรลุเป้าหมาย สืบเนื่องจากความก้าวหน้าของกองทัพจีน"

รายงานชี้ว่า กองทัพปลดแอกประชาชนจีนได้ยกระกับการลงทุนในขอบเขตต่างๆ ทั้งในด้านขีปนาวุธ ข่าวกรอง การสื่อสารและสงครามไซเบอร์

ทั้งนี้ ในรายงานแนะนำว่า หนทางที่ดีที่สุดในการปกป้องผลประโยชน์ของสหรัฐฯ คือหลีกเลี่ยงแสดงเจตนารมณ์อย่างหนักแน่นถึงความตั้งใจหรือให้คำสัญญาจะปกป้องไต้หวันในกณีที่ถูกโจมตี นอกจากนี้ อเมริกาควรทำให้แน่ใจว่าวอชิงตันและพันธมิตรจะตัดขาดจีนในทางเศรษฐกิจ ลดความอ่อนแอของตนเองต่อแรงกดดันทางเศรษฐกิจจากจีน หรือลดความอ่อนแอจากการถูกโจมตีอันซับซ้อนและกระจัดกระจายต่อโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขา

อ้างถึง "ยุทธศาสตร์ป้องปรามแบบบูรณาการ" ของลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ รายงานระบุว่า ความท้าทายสำคัญคือการเสาะแสวงหาหนทางดำเนินการใดๆ ที่ปราศจากนิวเคลียร์ และคำนึงถึงถึงผลกระทบที่อาจทำให้สถานการณ์ลุกลามบานปลาย "ข้อเท็จจริงคือ ผลลัพธ์ของการสู้รบใดๆ ระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเกี่ยวกับไต้หวัน จะป็นที่คาดเดาได้ยากมากๆ ไม่สามารถทึกทักได้ว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรจะเป็นฝ่ายชนะ"

"ยุทธศาสตร์ป้องปรามของอเมริกาไม่ควรมีแก่นกลางอยู่ที่ข้อสมมติฐานของการใช้นิวเคลียร์ข่มขู่ หรือใช้อาวุธนิวเคลียร์ยุติความขัดแย้ง เพื่อให้ได้มาซึ่งเงื่อนไขที่ดี" รายงานระบุ

(ที่มา : เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์)


กำลังโหลดความคิดเห็น