xs
xsm
sm
md
lg

ท้าทายจีนอีกยก!! สภาสูงอเมริกาดันร่าง กม.ยกเครื่องสัมพันธ์ไทเป ให้งบช่วยเหลือทางทหารไต้หวันโดยตรง แถมเพิ่มระดับ สนง.ตัวแทน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



คณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาสหรัฐฯ เริ่มก้าวแรกที่จะไปสู่การให้ความช่วยเหลือทางทหารมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์แก่ไต้หวัน และยกระดับความสัมพันธ์เป็นทางการ ซึ่งแน่นอนว่าจะทำให้ปักกิ่งเดือดดาลอีกรอบ

แม้สหรัฐฯ ขายอาวุธให้ไต้หวันมาหลายสิบปี แต่ร่างกฎหมายฉบับใหม่ซึ่งสภาสูงอเมริกันกำลังพิจารณากันอยู่จะไปไกลกว่านั้นอีก โดยจะกำหนดให้ความช่วยเหลือด้านความมั่นคงแก่ไต้หวันมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์ในระยะเวลา 4 ปี และการค้ำประกันเงินกู้อีก 2,000 ล้านดอลลาร์สำหรับการจัดซื้ออาวุธอเมริกัน นอกจากนี้ ยังมีการระบุถึงมาตรการแซงก์ชันหากจีนใช้กำลังเข้ายึดเกาะมังกรน้อย

ด้วยการสนับสนุนจากทั้งพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน วันพุธที่ผ่านมา (14 ก.ย.) คณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภาอนุมัติผ่าน “ร่างรัฐบัญญัตินโยบายไต้หวัน” ซึ่งจะถือเป็นการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกากับไต้หวันที่ครอบคลุมที่สุดนับจากวอชิงตันเปลี่ยนไปให้การยอมรับปักกิ่งแทนไทเปในปี 1979

พวกสมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ ผลักดันผ่านร่างกฎหมายนี้ ด้วยเหตุผลข้ออ้างว่าพวกเขามีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับไต้หวัน หลังจากรัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนและตามด้วยการเยือนไทเปของแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ที่ทำให้จีนลุกขึ้นมาซ้อมรบใหญ่ ที่ดูเหมือนเป็นการซ้อมบุกยึดไต้หวันกลับคืนมารวมชาติกับแผ่นดินใหญ่

วุฒิสมาชิกบ็อบ เมเนนเดซ จากพรรคเดโมแครต ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ อ้างว่า อเมริกาไม่ได้ต้องการสงครามหรือทำให้สถานการณ์กับปักกิ่งตึงเครียดมากขึ้น แต่ต้องการความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่

ส่วน ส.ว.จิม ริช ผู้นำรีพับลิกันในคณะกรรมาธิการชุดนี้ ขานรับว่า ถ้าต้องการทำให้แน่ใจว่า ไต้หวันสามารถปกป้องตนเองได้ อเมริกาก็ต้องลงมือทำทันที และสำทับว่า การเปลี่ยนแปลงสถานะเดิมสำหรับไต้หวันจะส่งผลเลวร้ายต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติของอเมริกา

ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังต้องได้รับอนุมัติจากวุฒิสภาทั้งสภาและจากสภาผู้แทนราษฎร ขณะที่ทำเนียบขาวยังไม่ได้ระบุว่า ไบเดนจะลงนามรับรองบังคับใช้หรือไม่ ถึงแม้ว่าแนวโน้มการให้ความสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งจากทั้งสองพรรค อาจหมายความว่า กระทั่งถ้าไบเดนคัดค้าน ก็ต้องเจออำนาจลบล้างของฝ่ายรัฐสภาอยู่ดี

ด้านสำนักประธานาธิบดีไต้หวันแถลงในวันพฤหัสบดี (15) ขอบคุณวุฒิสภาสหรัฐฯ สำหรับการแสดงการสนับสนุนล่าสุด และระบุว่า กฎหมายดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมการร่วมมือระหว่างไต้หวันกับอเมริกาในหลายๆ ด้าน ซึ่งรวมถึงความมั่นคงและเศรษฐกิจ

ภายใต้กฎหมายใหม่ อเมริกายังไม่ถึงกับรับรองไต้หวันในทางการทูต

ทั้งนี้ จีนถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ซึ่งต้องนำกลับมารวมชาติโดยหากจำเป็นก็พร้อมใช้กำลัง ขณะเดียวกัน นานาชาติรวมทั้งสหรัฐฯ ด้วย ในเวลาสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ต่างแถลงยอมรับเรื่อง “จีนเดียว” และสาธารณรัฐประชาชนจีนคือตัวแทนหนึ่งเดียวของจีนทั้งหมด

ทว่าในร่างกฎหมายใหม่นี้ สหรัฐฯ จะยกระดับให้การยอมรับไต้หวันเพิ่มมากขึ้น เป็นต้นว่า สถานทูตไต้หวันประจำวอชิงตันในทางพฤตินัย จะเปลี่ยนชื่อจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป เป็นสำนักงานผู้แทนไต้หวัน และรัฐบาลสหรัฐฯ จะได้รับมอบหมายให้มีปฏิสัมพันธ์กับไต้หวันแบบเดียวที่ปฏิสัมพันธ์กับรัฐบาลของประเทศอื่นๆ

ส่วนตัวแทนระดับสูงของอเมริกาประจำไทเปที่มีชื่อตำแหน่งอย่างเป็นทางการว่า ผู้อำนวยการสถาบันอเมริกันในไต้หวัน จะเปลี่ยนเป็น “ผู้แทน” สถาบันฯ และต้องได้รับการรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ เช่นเดียวกับเอกอัครราชทูตอเมริกัน

ร่างกฎหมายใหม่ยังกำหนดให้ไต้หวันได้รับฐานะเป็น “พันธมิตรสำคัญนอกนาโต” ซึ่งเป็นสถานะหุ้นส่วนทางการทหารที่ใกล้ชิดที่สุดของอเมริกา สำหรับพันธมิตรทั้งหลายที่อยู่นอกภาคพื้นแอตแลนติก

นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงจากกฎหมายความสัมพันธ์กับไต้หวันของสหรัฐฯ ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 1979 โดยร่างกฎหมายใหม่ระบุว่า อเมริกาจะจัดหาอาวุธเพื่อการป้องปรามการรุกรานของจีน แทนที่จะใช้เพียงคำว่า อาวุธเพื่อการปกป้องไต้หวัน ตามกฎหมายปี 1979

เมื่อต้นปีนี้ ไบเดนทำท่าเหมือนจะยุตินโยบายคลุมเครือต่อไต้หวัน ด้วยการกล่าวว่า อเมริกาจะช่วยเหลือโดยตรงหากไต้หวันถูกโจมตี ทว่า พวกผู้ช่วยประธานาธิบดีก็รีบออกมาแก้ต่างทันควันว่ายังไม่ได้เปลี่ยนนโยบาย รวมทั้งทำเนียบขาวยังดูเหมือนไม่เห็นด้วย ตอนที่เพโลซีเดินทางเยือนไทเป

สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุด คารีน ฌอง-ปิแอร์ โฆษกทำเนียบขาว กล่าวว่า คณะบริหารไบเดนยกย่องการสนับสนุนร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างเข้มแข็งจากทั้งสองพรรค และต้องการร่วมกับรัฐสภาเพื่อสนับสนุนร่างกฎหมายนี้

(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี, เอเจนซีส์)


กำลังโหลดความคิดเห็น