xs
xsm
sm
md
lg

เจ็บปวด! คนสหรัฐฯ ครวญราคาเบนซินพุ่งไม่หยุด ส่วนใน UK สูงสุดเป็นประวัติการณ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ราคาโดยเฉลี่ยของน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ ขยับเข้าใกล้ 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอนแล้ว ซ้ำเติมผู้บริโภคที่จำเป็นต้องใช้จ่ายเงินมากขึ้นสำหรับซื้อข้าวของจำเป็นอื่นๆ เช่นกัน ส่วนในสหราชอาณาจักร พันธมิตรสำคัญที่ร่วมกันคว่ำบาตรภาคพลังงานรัสเซียตอบโต้กรณีรุกรานยูเครน ราคาเบนซินพุ่งทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์

สมาคมรถยนต์แห่งอเมริกา (AAA) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ที่ติดตามราคาตามสถานีบริการน้ำมันทั่วสหรัฐฯ ระบุว่า ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันเบนซินธรรมดาในวันพฤหัสบดี (9 มิ.ย.) อยู่ที่ 4.97 ดอลลาร์ต่อแกลลอน (171.55บาท) เพิ่มขึ้น 1 ใน 4 จากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และแพงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 1.90 ดอลลาร์

ส่วน แก๊สบัดดี บริษัทผู้ให้บริการข้อมูลราคาน้ำมัน ระบุว่า ราคาเบนซินโดยเฉพาะพุ่งเหนือ 5 ดอลลาร์ต่อแกลลอนเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์แล้ว

ราคาน้ำมันหน้าสถานีบริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาหลายเดือนแล้ว และขยับเหนือ 4 ดอลลาร์ต่อแกลลอนในช่วงต้นเดือนมีนาคม มันเคลื่อนไหวตามราคาน้ำมันดิบ ซึ่งดีดตัวขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้ารัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ ท่ามกลางความกังวลอุปทานไม่เพียงพอต่ออุปสงค์ ซึ่งปกติแล้วจะดีดตัวสูงขึ้นในช่วงวันรำลึกถึงทหารกล้า (Memorial Day) ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นอย่างไม่เป็นทางการของฤดูร้อน และการเดินทางไปพักผ่อนในสหรัฐฯ

แคลิฟอร์เนีย เป็นรัฐที่มีราคาเบนซินโดยเฉลี่ยสูงที่สุด อยู่ที่ 6.40 ดอลลาร์ต่อแกลลอน จากข้อมูลของสมาคมรถยนต์แห่งอเมริกา ขณะที่หลายรัฐทางตะวันตกของประเทศและอิลลินอยส์ มีราคาโดยเฉลี่ยสูงกว่า 5.50 ดอลลาร์ ส่วนรัฐที่มีราคาเฉลี่ยต่ำที่สุด ได้แก่ จอร์เจีย อยู่ที่ 4.41 ดอลลาร์ต่อแกลลอน

เควนติน แม็คซีล จากโอ๊คแลนด์ แคลิฟอร์เนีย ระบุว่าเขาเคยเติมน้ำมันเต็มถัง 100 ดอลลาร์ (3,450 บาท) แต่เวลานี้ต้องควักกระเป๋าถึง 140-160 ดอลลาร์ (4,800-5,500 บาท) ราคาดังกล่าวบีบให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมต่างๆ

"มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ผมไม่สามารถทำได้ เพราะผมจำเป็นต้องจ่ายค่าน้ำมัน คุณก็รู้ว่าผมพูดถึงอะไร" แม็คซีลกล่าว "ซื้ออาหารน้อยลง สังสรรค์น้อยลง เพราะว่าผมจำเป็นต้องเติมน้ำมัน ผมจำเป็นต้องไปทำงาน" ทั้งนี้เขากล่าวโทษรัฐบาลและสงครามยูเครน สำหรับราคาเบนซินที่พุ่งสูง

แม้ราคาเฉลี่ยแตะระดับ 5 ดอลลาร์คือสถิติใหม่ แต่ชาวอเมริกันชนเคยจ่ายเงินค่าเบนซินสูงกว่านี้ย้อนกลับไปในเดือนกรกฎาคม 2008 เมื่อพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ โดยเวลานั้นราคาเบนซินอยู่ที่ 4.11 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ซึ่งเทียบเท่ากับราวๆ 5.40 ดอลลาร์ต่อแกลลอน ในปัจจุบัน

ชาวอเมริกันไม่ใช่เพียงชาติเดียวที่ต้องควักกระเป๋ามากขึ้นสำหรับเติมน้ำมัน โดยในสัปดาห์นี้ ราคาเบนซินในสหราชอาณาจักรพุ่งแตะระดับ 182.3 เพนซ์ต่อลิตร (ราว 2.30 ดอลลาร์ หรือ 79.39 บาทต่อลิตร) หรือประมาณ 8.80 ดอลลาร์ต่อแกลลอน

พวกนักวิเคราะห์คาดหมายว่าราคาจะพุ่งสุงขึ้นต่อไปอีก จนกว่าอุปสงค์ที่สูงลิ่วจะลดลง ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ในขณะเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่โรงกลั่นต่างๆ อาจต้องระงับปฏิบัติการบางช่วง ยกตัวอย่างเช่นเกิดเฮอร์ริเคนเล่นงานชายฝั่งอ่าวเทกซัสและแคลิฟอร์เนีย ก็อาจผลักให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงกว่านี้อีก

"ผมกังวลว่าเรายังไม่ถึงปลายทาง" แพทริค เดอ ฮาน นักวิเคราะห์จากแก๊สบีดดีกล่าว "เราต้องการขีดความสามารถการกลั่นทุกๆ บาร์เรลเท่าที่เราสามารถทำได้"

การแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่โควิด-19 นำมาซึ่งการปิดโรงกลั่น ทำให้ศักยภาพการกลั่นในสหรัฐฯ ลดลงราวๆ 800,000 บาร์เรลต่อวัน นับตั้งแต่ช่วงต้นปี 2020 จากข้อมูลของรัฐบาล ก่อแรงกดดันให้บรรดาโรงกลั่นที่เหลืออยู่ต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อรองรับอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ที่ผ่านมา บรรดาโรงกลั่นทั้งหลายลังเลที่จะสร้างโรงงานใหม่ๆ สืบเนื่องจากการเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้า ก่อความคลางแคลงในต่ออุปสงค์เบนซินในระยะยาว

ราคาเบนซินหน้าปั๊มที่พุ่งทะยานมีขึ้นในขณะที่บรรดาผู้บริโภคสหรัฐฯ กำลังเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ทั้งในด้านค่าอาหาร ที่พักอาศัย รถยนต์ ตั๋วเครื่องบิน และข้าวของจำเป็นอื่นๆ ราคาผู้บริโภคอเมริกาในเดือนเมษายน สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 8.3% แม้ดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนมีนาคม ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 1981 ในขณะที่ข้อมูลเดือนพฤษภาคม มีกำหนดเผยแพร่ในวันศุกร์ (10 มิ.ย.)

ในวอชิงตันเมื่อเดือนที่แล้ว สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคเดโมแครต ลงมติหนุนร่างกฎหมายฉบับหนึ่ง สำหรับปราบปรามสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าการโก่งราคาของบรรดาบริษัทน้ำมัน แต่เสียงคัดค้านของรีพับลิกัน จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่มันจะไม่ผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภา

ส่วนในสหราชอาณาจักร ในสัปดาห์นี้ทางประธานสมาคมยานยนต์ AA ระบุว่าราคาที่พุ่งสูง "กำลังฉีกวิถีชีวิตกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย ในพื้นที่ชนบทและภาคธุรกิจทั้งหลายเป็นชิ้นๆ และรัฐบาลต้องเข้าแทรกแซง"

(ที่มา : เอพี)


กำลังโหลดความคิดเห็น