หนึ่งในพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดของปูติน เดินหน้ากระชับความเป็นหุ้นส่วนกันทางยุทธศาสตร์กับจีน โดยมุ่งขยายความร่วมมือกันทางด้านกลาโหมและเพิ่มการประสานงานกันในประด็นปัญหาสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์
นับจากบุกยูเครน ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูตินของรัสเซีย เอนเอียงเข้าหาจีนมากขึ้นอย่างชัดเจน ขณะที่ทั้งสงครามและมาตรการแซงก์ชันของฝ่ายตะวันตกส่งผลโจมตีใส่ความสัมพันธ์ที่มอสโกมีอยูกับอเมริกาและพันธมิตรยุโรปอย่างรุนแรง
ก่อนเปิดฉากรุกรานยูเครนไม่นาน ปูตินและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศระหว่างการพบปะกันที่กรุงปักกิ่งถึง ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายใน “แบบไร้ขีดจำกัด” กระนั้น ในการพบกันครั้งล่าสุดที่อุซเบกิสถานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ประมุขวังเครมลินออกปากว่า เข้าใจดีว่า ผู้นำจีนมีความกังวลและมีคำถามเกี่ยวกับการสู้รบขัดแย้งในยูเครน
เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (19 ก.ย.) นิโคไล ปาตรูเชฟ เลขาธิการสภาความมั่นคงของรัสเซีย ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งของปูติน ได้เดินทางไปพบหารือกับ หยาง เจียฉือ สมาชิกกรมการเมืองพรรคคอมมิวนิสต์ รวมทั้งเป็นผู้อำนวยการของสำนักงานกิจการต่างประเทศแห่งคณะกรรมการกลางพรรค ที่เมืองหนานผิง มณฑลฝู่เจี้ยน เพื่อหารือเกี่ยวกับการดำเนินการตามข้อตกลงที่ปูตินและสีตกลงกันเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
ทั้งนี้สภาความมั่นคงของรัสเซีย ออกคำแถลงระบุว่า การพัฒนาความเป็นหุ้นส่วนกันทางยุทธศาสตร์กับจีน ถือเป็นเป้าหมายสำคัญอันดับแรกโดยไม่มีเงื่อนไขข้อแม้ใดๆ ในนโยบายการต่างประเทศของรัสเซีย
ขณะเดียวกัน คำแถลงบอกว่า ปาตรูเชฟและหยาง ยังหารือกันในเรื่องคาบสมุทรเกาหลี ไต้หวัน และยูเครน
“ทั้งสองฝ่ายตกลงเห็นพ้องกันในเรื่องการขยายความร่วมมือทางการทหารเพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นหนักที่การซ้อมรบร่วมและการตรวจการณ์ร่วม ตลอดจนเรื่องการกระชับการติดต่อกันระหว่างกองเสนาธิการใหญ่ของทั้งสองฝ่าย” คำแถลงนี้บอก
ปาตรูเชฟ อดีตสายลัยในยุคโซเวียตที่รู้จักกับปูตินมาตั้งแต่ทศวรรษ 1970 เป็นพันธมิตรที่มีจุดยืนแข็งกร้าวและถูกมองว่า เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สามารถโน้มน้าวปูตินได้
การกระชับความเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างจีน ซึ่งเป็นมหาอำนาจที่กำลังเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และรัสเซียที่ครอบครองทรัพยากรธรรมชาติมากมายมหาศาล กำลังเป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับรัฐบาลตะวันตกบางชาติ
ช่วงไม่กี่ปีล่าสุดนี้จีนเข้าร่วมซ้อมรบกับรัสเซียหลายครั้ง ซึ่งเป็นการซ้อมรบที่มีเป้าหมายในการจำลองวิธีการที่ประเทศทั้งสองจะป้องกันตัวเองจากการถูกโจมตี
สำหรับสถานการณ์การสู้รบในยูเครนนั้น สถาบันเพื่อการศึกษาสงคราม ซึ่งเป็นกลุ่มคลังสมองในวอชิงตัน รายงานเมื่อวันอังคาร (20) โดยอ้างข้อมูลที่ระบุว่ามาจากรัสเซียว่า ขณะนี้ยูเครนกำลังใช้รถถังที-72 ที่รัสเซียทิ้งไว้ บุกตะลุยเพื่อขับไล่กองทัพรัสเซียให้พ้นจากแคว้นลูฮันสก์ในปฏิบัติการโต้กลับทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ
กลุ่มคลังสมองของอเมริกันแห่งนี้เสริมว่า กองทัพรัสเซียตื่นตระหนกกับการตอบโต้ของยูเครนในช่วงต้นจนกระทั่งทิ้งอาวุธคุณภาพสูงไว้ ไม่ใช่อาวุธที่เสียหายที่ทิ้งไว้ตอนถอนกำลังออกจากเคียฟเมื่อเดือนเมษายน ตอกย้ำว่า รัสเซียกำลังเพลี่ยงพล้ำหนัก
ทั้งนี้ต้นเดือนนี้ยูเครนเปิดปฏิบัติการโต้กลับแบบสายฟ้าแลบและชิงดินแดนรอบๆ เมืองเมืองคาร์คีฟสำเร็จ โดยวิดีโอและภาพถ่ายเผยให้เห็นกองทัพยูเครนยึดรถถัง กระสุน และอาวุธอื่นๆ ที่ทหารรัสเซียทิ้งไว้ซึ่งบ่งชี้ว่า เป็นการถอนกำลังแบบฉุกละหุก
ขณะเดียวกัน ระหว่างปฏิบัติการโต้กลับ เจ้าหน้าที่ยูเครนอ้างว่าได้พบหลุมศพเป็นร้อยใกล้เมืองอิเซียมที่รัสเซียเคยยึดครอง ในจำนวนนี้มีศพจำนวนมากที่มีร่องรอยถูกฆ่าอย่างทารุณ เช่น กระดูกหัก ศีรษะแตก กรามหัก
ทว่า รัสเซียออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ ดมิตริ เปสคอฟ โฆษกเครมลินบอกว่า “เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องโกหก” พร้อมกับกล่าวว่า มอสโกจะยืนหยัดเพื่อให้บรรลุถึงความจริงของเรื่องเหล่านี้
เขากล่าวด้วยว่า คราวนี้ก็เป็น “ฉากทัศน์เดียวกันกับที่เมืองบูชา” ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ นอกกรุงเคียฟ ที่พบศพหลายสิบศพในเครื่องแต่งกายพลเรือนถูกทิ้งไว้ตามถนนภายหลังทหารรัสเซียถอนตัวออกไปจากที่นั่น ทั้งนี้ มอสโกปฏิเสธมาโดยตลอดต่อข้อกล่าวหาที่ว่าพวกเขาจัดการสังหารผู้คนแบบใช้อำนาจศาลเตี้ย
นอกจากนั้น ยูเครนยังอ้างด้วยว่าเดินหน้าผลักดันทหารรัสเซียออกจากทางใต้ของประเทศ โดยเจ้าหน้าที่ทหารของยูเครนเผยว่า ได้ทำลายคลังกระสุน ฐานบัญชาการสองแห่ง และระบบการทำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของรัสเซีย รวมถึงจมเรือที่รัสเซียใช้ขนทหารและอาวุธข้ามแม่น้ำดนิโปรใกล้เมืองโนวาคาคอฟกาที่รัสเซียยึดอยู่ ซึ่งตั้งอยู่ในแคว้นเคียร์ซอนที่เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของปฏิบัติการตอบโต้ของยูเครน
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)