เป็นประเด็นที่กล่าวกันบ่อยๆ ว่าสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง ผู้ทรงลืมตาดูโลกเมื่อ 21เมษายน 1926 ในพระนาม“เจ้าหญิงเอลิซาเบธ” ทรงมีหนึ่งทศวรรษแรกบนโลกใบนี้โดยไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะได้เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติ เพราะสายพระราชวงศ์ที่จะสืบทอดพระราชบัลลังก์แห่งสหราชอาณาจักรนั้น อยู่ที่เสด็จลุง ซึ่งก็คือ เจ้าชายเอดเวิร์ด ปรินส์ออฟเวลส์ พระราชโอรสพระองค์โตของพระเจ้าจอร์จที่ 5 พระมหากษัตริย์ในขณะนั้น
เจ้าหญิงพระองค์น้อยเจ้าของนิกเนม ลิลิเบธ จึงทรงเป็นเจ้าหญิงเล็กๆ ที่เจริญพระชนม์ดั่งนางฟ้ามาเกิด มาเสวยบุญ เส้นทางพระชนม์ชีพโรยด้วยกลีบกุหลาบและเปี่ยมสุข เป็นพระธิดาพระองค์โตของราชนิกูลระดับเจ้าฟ้าชาย และเป็นพระราชนัดดาแก้วตาดวงใจของพระเจ้าแผ่นดิน ทรงเล่นกับม้าและสุนัข ไร้แรงกดดันจากโลกภายนอก ขณะที่ ปราสาทในชนบทและการเสกสมรสกับเจ้านายสูงศักดิ์ที่เหมาะสม ดูจะเป็นอนาคตสุขสงบของพระองค์
พระชะตาพลิกผันครั้งมโหฬาร อุบัติขึ้นสองคราซ้อนภายในปี1936 โดยในเดือนมกราคมพระเจ้าปู่ทรงสวรรคต และพระเจ้าลุงเสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนาม พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 8 แต่ด้วยชะตาฟ้าลิขิต จึงมีการสละราชสมบัติในเดือนธันวาคม ปีเดียวกัน ดังนั้นเสด็จพ่อจึงทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ พระนามว่าพระเจ้าจอร์จที่ 6 ส่งผลให้เจ้าหญิงเอลิซาเบธซึ่งทรงไม่มีพระอนุชา โดยมีพระขนิษฐาเพียงหนึ่งพระองค์ ได้กลายเป็นรัชทายาท อย่างปุบปับเหนือความคาดหมายทั้งปวง
โลกของเจ้าหญิงลิลิเบธ ณ พระชนมายุ 10 พรรษา จึงถูกเปลี่ยนไปทั้งหมด ความเปลี่ยนแปลงทั้งปวงมาพร้อมกับการถูกคาดหวังมากมายในฐานะ ว่าที่กษัตริยาณี และนับแต่นั้นมา ทรงแบกรับกฎกติกา หน้าที่ภารกิจ และข้อจำกัดนับไม่ถ้วนตามบทบาทรัชทายาท และในกาลเวลามากกว่า 8 ทศวรรษถัดมา พระองค์ทรงพิสูจน์พระองค์เองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ว่าทรงสามารถรับผิดชอบทุกสิ่งอย่างภายใต้แรงกดดันอันมหาศาล และทรงประสบความสำเร็จในการนำสหราชอาณาจักรเคลื่อนผ่านยุคยามแห่งความเปลี่ยนแปลง หวั่นไหว ไม่แน่นอนทั้งปวงได้อย่างมั่นคง โดยทรงเป็นสัญลักษณ์แห่งเสถียรภาพที่พสกนิกรภาคภูมิใจ
บนเส้นทางความสำเร็จแห่งพระชนม์ชีพภายใต้มงกุฎอิมพีเรียลสเตต สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงต้องประสบพบเจอกับสารพัดสิ่งอันไม่น่าพึงปรารถนา เรื่องราวที่น่าทุกข์ใจ ตลอดจนบุคคลร้อยพ่อพันแม่ผู้ที่นำมาซึ่งปัญหาและแรงกดดัน เหล่านี้ส่งผลให้เส้นทางของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ห่างไกลจากชีวิตเสมือนฝันอันโรยด้วยกลีบกุหลาบ แท้ๆ เทียว
ยุคสมัยแห่งการล่มสลายของจักรวรรดิอังกฤษ และพรรคแรงงานได้เป็นรัฐบาล
เมษายน 21, 1926: ทรงประสูติในฐานะพระธิดาพระองค์โตของเจ้าฟ้าชายจอร์จ ปรินส์ออฟยอร์ก พระราชโอรสลำดับที่ 2 ของพระเจ้าจอร์จที่ 5 (เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ พระราชโอรสลำดับที่ 2 ของควีนเอลิซาเบธที่ II ก็ทรงดำรงพระยศนี้)
ธันวาคม 11, 1936: ทรงเป็นรัชทายาทอย่างปุบปับ ณ พระชนมายุ 10 พรรษา เมื่อกษัตริย์เอดเวิร์ดที่ 8 ผู้เป็นพระเจ้าลุง ทรงเลือกที่จะสละราชสมบัติ ดังนั้น พระราชบิดาแห่งเจ้าหญิงเอลิซาเบธจึงเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ พระนามว่า พระเจ้าจอร์จที่ 6
ต้นปี 1945: ทรงเจริญรอยตามพระราชบิดาด้วยการลงมือปฏิบัติด้วยพระองค์เองเพื่อเป็นแบบฉบับที่ดีให้แก่พสกนิกร โดย ณ พระชนมายุ 19 พรรษาซึ่งเป็นผู้ใหญ่พอสมควร ทรงเข้าร่วมภารกิจของหน่วยปฏิบัติการสมทบในอาณาเขต หรือ Auxiliary Territorial Service ซึ่งเป็นหน่วยปฏิบัติการสตรีภายใต้กองทัพอังกฤษระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้ ทรงเป็นราชนิกูลสตรีพระองค์แรกที่เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารในฐานะสมาชิกปฏิบัติการเต็มตัว
1945-1947: ในฐานะประเทศชนะสงคราม อังกฤษบอบช้ำหนักซึ่งรวมถึงในทางเศรษฐกิจและผลกระทบด้านภาระการใช้หนี้ที่เกิดจากค่าใช้จ่ายการสู้รบ ยิ่งกว่านั้นในปี 1946 อังกฤษยอมรับสถานภาพล้มละลายไม่สามารถชำระหนี้ได้ พร้อมกับรับเงินกู้จำนวนมหาศาลจากสหรัฐอเมริกา พร้อมกับต้องรับมือกับขบวนการต่อต้านลัทธิอาณานิคมที่พัฒนาขึ้นอย่างรุนแรงและกว้างขวาง นอกจากนั้น ในปี 1945 พรรคแรงงาน (ซึ่งเสนอแนวทางยุติอาณานิคมโดยประเมินว่ามีแต่เสียมากกว่าได้) ชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นรัฐบาล การล่มสลายอย่างเป็นรูปธรรมของจักรวรรดิอังกฤษเริ่มขึ้น รัฐบาลอังกฤษเลือกเดินนโยบายปล่อยอาณานิคมโดยทยอยถอนทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ปัญหาเอกราชอินเดียซึ่งร้อนระอุที่สุด
- ในห้วงเดียวกัน อังกฤษได้รับผลกระทบมหาศาลจากความเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินในภูมิภาคต่างๆ ของโลก ไม่ว่าจะสงครามเย็นระหว่างสหภาพโซเวียตกับสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ ในยุโรป ตลอดจนการที่จีนกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ในปี 1949 ไปจนถึงความระทึกใจในความเสี่ยงต่อสงครามโลกครั้งที่ 3 อันเกี่ยวเนื่องกับสงครามเกาหลีในช่วง 1950-53
- ปัญหาหนักหนาเหล่านี้เป็นปัญหาในมือรัฐบาล แต่แรงกดดันมหาศาลพุ่งเข้ารุมเร้าสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะความหวาดหวั่นในใจประชาชนว่า อังกฤษจะอยู่รอดได้อย่างไรในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนรอบด้าน
พฤศจิกายน 20, 1947: หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราช หลุดจากอำนาจของอังกฤษในเดือนสิงหาคม 1947 แล้ว อังกฤษมีพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่าง เจ้าหญิงเอลิซาเบธ กับ เรือเอกฟิลิป เมาท์แบตเตน พระนามเดิมคือ เจ้าชายฟิลิปแห่งกรีซและเดนมาร์ก ณ โบสถ์เวสต์มินสเตอร์แอบบี้ กรุงลอนดอน เมื่อ 20 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน โดยทรงมีพระราชบุตรและพระราชธิดารวม 4 พระองค์ ได้แก่ เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ (ประสูติในปี 1948) เจ้าฟ้าหญิงแอนน์ (1950) เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ (1960) และเจ้าฟ้าชายเอดเวิร์ด (1964)
กุมภาพันธ์ 1952: เจ้าหญิงเอลิซาเบธและพระสวามีเสด็จเยือนออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ และเคนยา ในฐานะผู้แทนพระองค์พระเจ้าจอร์จที่ 6 ผู้ทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคมะเร็ง และปรากฏว่าในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ขณะประทับในประเทศเคนยา ทรงได้รับข่าวร้าย พระหทัยสลาย ว่าพระเจ้าจอร์จที่ 6 พระราชบิดาเสด็จสวรรคต ซึ่งเป็นการพลัดพรากที่พระองค์มิได้ทรงกล่าวลาและมิได้ทรงประทับเคียงข้างเมื่อพระราชบิดาเสด็จสู่สวรรคาลัย ทั้งนี้ พระองค์ทรงประกาศพระองค์เป็นพระมหากษัตริยาณีแห่งสหราชอาณาจักรและเครือจักรภพพระองค์ใหม่หลังจากที่รีบเสด็จกลับกรุงลอนดอน
มิถุนายน 2, 1953: พระราชพิธีบรมราชาภิเษกของสมเด็จพระนางเจ้าเอลิซาเบธที่ 2 มีขึ้นในวันที่ 2 มิถุนายน 1953 ณ โบสถ์เวสต์มินสเตอร์แอบบี ในการนี้ ทรงสวมมงกุฎอิมพีเรียลสเตตอย่างเป็นทางการพร้อมกับมีการถ่ายทอดผ่านโทรทัศน์เป็นครั้งแรก
พฤศจิกายน 24, 1953: พระราชกรณียกิจเสด็จเยือน 13 ประเทศเครือจักรภพ ครอบคลุมเส้นทางทั้งสิ้น 43,618 ไมล์
1948 - ปลายทศวรรษ 1960: อาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษต่อสู้จนกระทั่งทยอยกันชนะและได้รับเอกราช อาทิ พม่าได้รับเอกราชปี 1948 ซูดาน 1956 มาเลเซีย 1957 สิงคโปร์ 1959 และในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เกือบทุกประเทศในทวีปแอฟริกา (ยกเว้น โรดีเซียซึ่งในเวลาต่อมาเปลี่ยนนามเป็นซิมบับเว) สามารถต่อสู้จนได้รับเอกราชจากอังกฤษ
ปี 1970: ขณะเยือนนิวซีแลนด์ซึ่งเป็นประเทศเอกราชที่มีกษัตริย์อังกฤษเป็นประมุข สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงใช้กลยุทธ์การพระราชดำเนินทักทายประชาชน
ปี 1971: พระราชโอรสพระองค์โตของสมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงได้รู้จักและทรงหลงรักในสตรีสามัญชนท่านหนึ่งผู้ซึ่งสดใส ร่าเริง และนำความสุขล้นเหลือสู่ดวงพระทัยของพระองค์ ทว่าเธอมีประวัติส่วนตัวอื้อฉาวหนักมาก กระทั่งว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่พระราชมารดาจะอนุญาตให้พระองค์ได้อภิเษกสมรสด้วย ความสัมพันธ์กับพระคู่รักดำเนินไปอย่างต่อเนื่องหลายทศวรรษ ไม่จืดจาง
ปี 1977: พระราชพิธีรัชดาภิเษก หรือ Silver Jubilee แห่งการครองราชย์ครบรอบ 25 ปี มีพสกนิกรนับล้านรายแห่กันออกมาถวายความจงรักภักดีและแสดงความรักชื่นชมในองค์พระประมุข สิ่งเหล่านั้นเป็นกำลังใจอันใหญ่หลวง อันเกิดจากสิ่งถูกต้องดีงามมหาศาลที่สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงได้กระทำไว้ พร้อมนี้ มีการเสด็จประพาสเยี่ยมเยือนประเทศเครือจักรภพ ตลอดจนการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ภายในอังกฤษ
ยุคยามแห่งปัญหาจากพระราชโอรส พระราชธิดา พระสุณิสา สู่การวิพากษ์จากมรณกรรมไดอานา 1981-1997
ปี 1981: พระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลและเลดี้ไดอานา สเปนเซอร์ มีขึ้นอย่างอลังการและงามสง่า โดยมีชาวโลกกว่า 750 ล้านรายใน 74 ประเทศ เฝ้าชมผ่านการถ่ายทอดโทรทัศน์ ขณะที่พสกนิกรในอังกฤษ 28.4 ล้านรายเฝ้าชมผ่านสถานีช่องบีบีซีและไอทีวี พร้อมกับอีก 600,000 รายที่หลั่งไหลลงสู่ท้องถนนสายต่างๆ ในกรุงลอนดอนเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง เมื่อ 29 กรกฎาคม 1981
การอภิเษกสมรสนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในฐานะพระราชมารดา ที่ทรงสามารถจัดให้องค์รัชทายาทได้มีพระชายาที่พร้อมพรั่งด้วยคุณสมบัติเหมาะสมตามราชประเพณีได้อย่างเป็นทางการ หลังจากที่เจ้าชายแห่งเวลส์ทรงรักใคร่สัมพันธ์อย่างเนิ่นนานกับสตรีสามัญชนผู้มีประวัติส่วนตัวอื้อฉาว โดยกระทั่งว่าสตรีสามัญชนท่านนี้จะแต่งงานไปแล้ว เจ้าชายแห่งเวลส์ก็ทรงหวนสู่สัมพันธ์ชู้สาวกับเธออีกในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งปวงเกี่ยวกับสัมพันธ์ลึกซึ้งกับสตรีสามัญชนท่านนี้ ไม่ถูกส่งไปยังสื่อมวลชนจนกระทั่งปี 1992
ปี 1982: เจ้าชายวิลเลียมประสูติ และอีก 2 ปีต่อมา เจ้าชายแฮร์รีประสูติ
ปี 1986: เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์เสกสมรสกับซาราห์ เฟอร์กูสัน นักธุรกิจคนดังของอังกฤษ พร้อมนี้ ทั้งสองได้รับแต่งตั้งเป็นดยุกและดัชเชสแห่งยอร์ก
1987-1992: ข้อมูลสัมพันธ์ร้าวระหว่างเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ รัชทายาทแห่งสหราชอาณาจักร กับพระชายา ถูกปล่อยสู่สื่อมวลชน องค์รัชทายาทถูกสารพัดสื่อเขย่าอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายน 1987 ทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวในประเด็น “เตียงหัก” และการดำเนินชีวิตแยกทางจากกัน แรงกดดันเหล่านี้ดุเดือดหนักหนาตลอดปี 1990 ก่อนจะร้อนแรงปรอทแตกเมื่อสื่อมวลชนได้ข้อมูลลับและตีข่าวในเดือนกุมภาพันธ์ 1991 ว่าองค์รัชทายาททรงทอดทิ้งพระชายา และหวนซบแฟนเก่า
วิกฤตชีวิตสมรสเข้าสู่ภาวะอื้อฉาวฉกาจฉกรรจ์ เมื่อมีการนำหนังสือโจมตีเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ เรื่อง Diana: Her True Story เขียนโดยแอนดรูว์ มอร์ตัน ออกวางตลาดอย่างครึกโครมในวันที่ 1 มิถุนายน 1992 ภาพลักษณ์ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ คือ ย่อยยับ เท่านั้นยังไม่พอ ภายในเดือนเดียวกันนั้นเอง มีการส่งข้อมูลและภาพถ่ายของสตรีผู้เป็นที่รักแห่งเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ไปยังมือสื่อมวลชน โดยหน้าปกนิตยสาร People สัปดาห์ปลายเดือนมิ.ย. 1992 นำภาพของเธอขึ้นคู่กับภาพเจ้าหญิงไดอานา พร้อมพาดหัวข่าวว่า “มือที่สาม - คู่แข่งไดอานา”
สิ่งที่ตามมาคือ การแฉข้อมูลพระสุณิสา หรือก็คือสะใภ้หลวง ของสมเด็จพระราชินีนาถฯ บ้าง อันได้แก่ การโต้ตอบด้วยภาพถ่ายและข้อมูลชายชู้ 2 รายของเจ้าหญิงไดอานา โดยสื่อมวลชนนำเสนอสู่สาธารณชนในเดือนสิงหาคมและกันยายน 1992
- พฤศจิกายน 1992 มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่าเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และพระชายาตกลงแยกทางกัน
ในท่ามกลางข่าวอื้อฉาวที่กระหน่ำเข้าไปมากมาย องค์รัชทายาทตกเป็นจำเลยสังคม อีกทั้งต้องเผชิญกับปฏิกิริยาย่ำแย่และคำวิพากษ์วิจารณ์แรงๆ จากสาธารณชน พร้อมนี้ เอพีรายงานว่าการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ทวีตัวมหาศาล โดยลุกลามไปเล่นงานในประเด็นทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตลอดจนการจับจ่ายของพระราชวงศ์
ปี 1992: ณ ปีที่ทรงครองราชย์ครบ 40 ปี นั้น สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเรียกค.ศ. 1992 ว่าปีอันเลวร้ายของพระองค์ อันได้แก่
- ข่าวอื้อฉาวขั้นอุกฤษฏ์ของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และพระชายา ซึ่งลงท้ายปิดปีด้วยการประกาศแยกทางกันอย่างเป็นทางการ
- การแยกทางกันระหว่างเจ้าฟ้าชายแอนดรูว์กับพระชายาซาราห์ เฟอร์กูสัน
- การหย่าร้างระหว่างเจ้าฟ้าหญิงแอนน์กับพระสวามีซึ่งมีพระโอรสและพระธิดาด้วยกัน 2 องค์
- เดือนพฤศจิกายน เกิดเพลิงไหม้ปราสาทวินด์เซอร์ จนเสียหายอย่างหนัก
- สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงประกาศที่จะชำระภาษีเงินได้ ตลอดทั้งจะรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ภายในพระราชวงศ์
1994-1997: วิบากกรรมแห่งรักอับปางระหว่างเจ้าชายและเจ้าหญิงแห่งเวลส์กลายเป็นหนังซีรีส์ มิได้สรุปจบลงง่ายๆ
- ปี 1994 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงโปรดให้มีการจัดทำภาพยนตร์ครบรอบ 25 ปีแห่งการดำรงพระยศเจ้าชายแห่งเวลส์ และในโอกาสการออกฉายทางโทรทัศน์ในเดือนมิถุนายน ทรงประทานสัมภาษณ์ พร้อมเปิดพระทัยตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาว่า ทรงได้รักษาซื่อสัตย์อยู่ในชีวิตสมรส จนกระทั่งชีวิตสมรสนั้นแตกหัก ไม่สามารถจะกอบกู้ได้ อันเป็นนัยไปสู่การยอมรับต่อประเด็นความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่มีอยู่กับพระคู่รักที่คบหากันต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี
เดือนตุลาคม หนึ่งในชายชู้ของเจ้าหญิงแห่งเวลส์ คือ เจมส์ ฮิววิตต์ จัดทำหนังสือแฉหมดเปลือกเรื่อง Princess in Love และมีการวางตลาดอย่างอื้อฉาว และเป็นอีกคราวหนึ่งที่สถานภาพอันสง่างามของราชวงศ์อังกฤษถูกสั่นคลอน เนื่องจากเป็นการเผยการกระทำผิดประเวณีของไดอานา สะใภ้หลวง
- ปี 1995 ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์ ออกโทรทัศน์ประทานสัมภาษณ์ในเดือนพฤศจิกายน ยอมรับเรื่องการผิดประเวณีในความสัมพันธ์กับเจมส์ ฮิววิตต์ หนึ่งเดือนต่อมา สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงมีหนังสือแนะนำให้พระราชโอรสและพระสุณิสาหย่าร้างกันให้เรียบร้อย
- ปี 1996 การหย่าร้างเสร็จสิ้นในวันที่ 28 สิงหาคม โดยไดอานาได้รับสิทธิ์ให้ใช้คำนำหน้าว่าเจ้าหญิง ซึ่งเป็นคำลอยๆ ที่ไม่สามารถต่อด้วยคำว่า แห่งเวลส์ และไม่มีบรรดาศักดิ์ Her Royal Highness เพราะมิได้เป็นพระชายาของเจ้าชายแห่งเวลส์แล้ว
ในการนี้ อานิสงส์จากการรณรงค์สร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อมวลชนว่าถูกพระราชวงศ์อังกฤษรังแก ถูกทอดทิ้ง ต้องคบชู้เพราะถูกกดดันจวนเจียนจะฆ่าตัวตาย ฯลฯ ตลอดจนผลบุญจากการรณรงค์ในด้านมนุษยธรรม อาทิ ปัญหาเด็กยากจน ผู้ป่วยเอดส์ การเคลียร์กับระเบิด ฯลฯ ซึ่งทีมประชาสัมพันธ์ของเธอมีศักยภาพสูงในการถ่ายทอดความรู้สึกอันงดงามผ่านดวงตาและท่าที สู่ภาพถ่ายและคลิปต่างๆ ทำให้เธอเป็นที่รักของผู้คนมหาศาล พร้อมกับช่วยรักษาคะแนนสงสารจากสาธารณชนได้อย่างยั่งยืน
- ปี 1997 อดีตพระสุณิสาได้เลิกราจากสัมพันธ์ลึกซึ้งซึ่งดำเนินอย่างหลบๆ ซ่อนๆ นานกว่าสองปีกับนายแพทย์ฮัสนัต ข่าน ศัลยแพทย์หัวใจชาวปากีสถาน โดยคุณหมอแต่งงานมีภรรยาและลูกครบเครื่องแล้ว ทั้งนี้ การตัดขาดเกิดขึ้นเมื่อไดอานาปลูกต้นรักใหม่ในราวกลางปี 1997 กับ โดดี้ ฟาเยด มหาเศรษฐีพันล้านเชื้อสายอียิปต์ ทั้งสองประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และเสียชีวิตในประเทศฝรั่งเศสเมื่อ 31 สิงหาคม 1997 ปิดฉากปัญหาเรื้อรังรายการใหญ่ที่บั่นทอนสถาบันราชวงศ์อังกฤษได้หนึ่งประเด็นสำคัญ
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันดุเดือดถาโถมใส่พระราชตระกูลแบบว่า ส่งท้ายช่วงหนึ่งสั้นๆ ภายใต้ข้อกล่าวหาว่าพระราชวงศ์อังกฤษทำไม่ถูกที่งดแสดงท่าทีต่อมรณกรรมของอดีตพระสุณิสา ประดาแฟนคลับไดอานาโกรธเกรี้ยวกันมาก “แสดงให้เราเห็นสิว่าพระองค์แคร์” หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับหนึ่งโวยวายด้วยข้อความพาดหัวข่าวหน้าหนึ่งอย่างนั้น
พิธีปลงศพที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ให้แก่ไดอานา เจ้าหญิงในดวงใจมหาชนและพระมารดาของเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รี เมื่อ 6 กันยายน 1997 เป็นอีเวนต์ระดับโลก และในขบวนแห่ศพก็มีเจ้าชายฟิลิป ดยุกแห่งเอดินบะระ อดีตพระสสุระ เจ้าชายแห่งเวลส์อดีตพระสวามี ตลอดจนพระโอรสทั้งสองพระองค์ ร่วมเดินในขบวนแห่อย่างสมเกียรติ
- เดือนพฤศจิกายน พสกนิกรจำนวนมหาศาลออกมาร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีครบรอบราชาภิเษกสมรสของสมเด็จพระราชินีนาถฯ กับเจ้าชายฟิลิปผู้เป็นพระสวามี หรือก็คือ Golden Wedding Anniversary นั่นเอง
ปี 1998: กองทัพสาธารณรัฐไอร์แลนด์ หรือ IRA อันเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยชนกลุ่มน้อยชาวไอริชในไอร์แลนด์เหนือเพื่อไปรวมกับประเทศไอร์แลนด์ เริ่มปฏิบัติการต่อสู้เรียกร้องเอกราชจากสหราชอาณาจักรตั้งแต่ปี 1969 ด้วยวิธีรุนแรง เช่น การลอบสังหาร การปล้นธนาคาร และการวางระเบิดสังหารประชาชน ได้ร่วมกับกลุ่มซันเฟนประกาศวางอาวุธและลงนามสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษในปี 1998
ยุคยามแห่งปัญหาก่อการร้ายยุคใหม่ และภัยใหญ่หลวงจากโรคระบาดโควิด กับหลายๆ ศักราชแห่งความพลัดพราก: 2001-2022
อังกฤษมีประสบการณ์อันเจ็บปวดมากมายจากขบวนการก่อการร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขบวนการแบ่งแยกดินแดนในไอร์แลนด์เหนือ ผลการวิจัยที่ปรากฏในฐานข้อมูลของรัฐสภาอังกฤษระบุว่าในช่วง 1970 – 2020 มีผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายรวม 3,416 ราย โดยที่ว่า 84% เกิดขึ้นในไอร์แลนด์เหนือ และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสูงลิ่ว 2 รายการ ได้แก่ ยอดผู้ถูกสังหารรวม 344 รายภายในปี 1972 กับยอดผู้ถูกสังหารในเหตุการณ์วางระเบิดเครื่องบินโดยชาวลิเบียในเที่ยวบินแพนแอม 103 เหนือเมืองล็อกเคอร์บี ประเทศสกอตแลนด์ในปี 1988 ส่งผลให้มีผู้ถูกสังหารทั้งสิ้นถึง 270 ราย
อย่างไรก็ตาม ในทศวรรษ 1990 แนวโน้มโดยรวมปรากฏว่าลดลงเป็นส่วนใหญ่ และแผ่วลงมหาศาลหลังขบวนการ IRA วางอาวุธและลงนามสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษในปี 1998
เมื่อเข้าสู่สหัสวรรษที่ 3 ภัยก่อการร้ายที่อังกฤษเผชิญเป็นฝีมือของขบวนการก่อการร้ายระหว่างประเทศ โดยในห้วงปี 2003-2020 มีผู้เสียชีวิตภายในอังกฤษและเวลส์ 95 ราย
ปี 2001: การก่อการร้ายข้ามชาติอุบัติขึ้นในเหตุโศกนาฏกรรม 9 กันยายน 2001 ในสหรัฐฯ ส่งผลกระทบเป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตของชาวโลกทั้งมวล ซึ่งรวมถึงประเทศอังกฤษที่ยังมีบทบาทสูงมากบนเวทีการเมืองโลก ในท่ามกลางการก่อการร้ายยุคใหม่ที่ขยายตัวและแสดงอิทธิฤทธิ์อันร้ายกาจอย่างมากมาย ซ้ำแล้วซ้ำอีก
ปี 2002: ปีแห่งการพลัดพรากซึ่งสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ต้องทรงสูญเสียพระราชมารดาและพระขนิษฐาที่ทรงรักและทรงผูกพันมาตลอดพระชนม์ชีพ และปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปีการครองราชย์ของสมเด็จพระราชินีนาถฯ
- วันที่ 9 กุมภาพันธ์ เจ้าหญิงมาร์กาเรต พระขนิษฐาหนึ่งเดียวของสมเด็จพระราชินีนาถฯ สิ้นพระชมน์ ณ พระชนมายุ 71 พรรษา
- วันที่ 30 มีนาคม สมเด็จพระพันปีหลวง พระราชินีเอลิซาเบธในรัชสมัยของพระเจ้าจอร์จที่ 6 และพระราชมารดาและที่พึ่งทางจิตใจที่สำคัญยิ่งของสมเด็จพระราชินีนาถฯ เสด็จสวรรคต ณ พระชนมายุ 101 พรรษา
- วันที่ 1-4 มิถุนายน 2002 พระราชพิธีกาญจนาภิเษก หรือ Golden Jubilee แห่งการครองราชย์ครบรอบ 50 ปี มีขึ้นอย่างยิ่งใหญ่
ปี 2005: หลังจากที่เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงเปิดพระทัยตรัสอย่างตรงไปตรงมาว่า ทรงได้รักษาซื่อสัตย์อยู่ในชีวิตสมรส จนกระทั่งชีวิตสมรสนั้นแตกหัก ไม่สามารถจะกอบกู้ได้ อันเป็นนัยไปสู่การยอมรับถึงเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งที่มีอยู่กับพระคู่รักผู้เป็นสตรีสามัญชน นามว่า คามิลลา แชนด์ พาร์กเกอร์-โบลส์ ผู้ที่ทรงคบหาในหลายๆ สถานภาพต่อเนื่องมากกว่า 20 ปี ในปีรุ่งขึ้น 1995 คามิลลากับสามีเดิมเสร็จสิ้นกระบวนการหย่าร้าง และต่อมาในปี 1996 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ก็เสร็จสิ้นกระบวนการหย่าร้างเลิกราเด็ดขาดจากไดอานา เจ้าหญิงของประชาชน นั้น เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์และคามิลลา แชนด์ ก็ครองคู่กันโดยห่างไกลสื่อมวลชน และไม่ปรากฏต่อสาธารณชนจนกระทั่งปี 1999 โดยประมาณว่าทรงตั้งใจรอให้พระโอรสทั้งสองทรงเป็นผู้ใหญ่เข้าใจโลกตามสมควร และสองปีต่อมา ได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระราชินีนาถฯ
- วันที่ 9 เมษายน 2005 เจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ทรงจัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับคามิลลาแบบจดทะเบียนตามกฎหมาย โดยไม่มีพระราชพิธีทางศาสนาเพื่อรับศีลสมรส แต่มีพระราชพิธีทางศาสนาเพื่อการถวายพระพร ซึ่งเทียบเท่ากับการเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ยั่งยืน 35 ปีที่ทรงรักใคร่ผูกพันเหนียวแน่นกันมา
- วันที่ 7 กรกฎาคม ขบวนการก่อการร้ายอิสลามิสต์ก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย 4 จุดกลางกรุงลอนดอน (London Bombing) ด้วยความตั้งใจสังหารประชาชนที่เดินทางกันอย่างหนาแน่นในชั่วโมงเร่งด่วน ทั้งนี้ 3 จุดเกิดขึ้นกับรถไฟใต้ดิน และ 1 จุดเกิดขึ้นบนรถเมล์ การโจมตีเหล่านี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 56 ราย และมีผู้บาดเจ็บมหาศาลกว่า 700 ราย
ปี 2011: สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงเข้าร่วมพระราชพิธีอภิเษกสมรสของพระราชนัดดา คือ เจ้าชายวิลเลียม กับนางสาวแคเธอริน มิดเดิลตัน สุภาพสตรีสามัญชนรูปโฉมงาม การศึกษาสูง ภูมิหลังทางบ้านมั่นคงในความเป็นชนชั้นกลางฐานะดี ประมาณการกันว่าชาวโลกกว่า 2,000 ล้านรายเฝ้าชมพิธีที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์
ปี 2012: พระราชพิธีพัชราภิเษกสมโภช หรือ Diamond Jubilee แห่งการครองราชย์ครบรอบ 60 ปี มีขึ้นอย่างอลังการ พสกนิกรหนึ่งล้านรายเข้าร่วมขบวนแห่บนแม่น้ำเทมส์ และอีกหลายล้านรายร่วมเฉลิมฉลองในปาร์ตี้บนท้องถนน
ปี 2013: เจ้าชายจอร์จ พระโอรสของเจ้าชายวิลเลียมทรงประสูติ ต่อด้วยเจ้าหญิงชาร์ลอตต์ (2015) และเจ้าชายหลุยส์ (2018)
ปี 2014: สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงเสด็จเยือนเยอรมนี ซึ่งเป็นพระราชกรณียกิจในต่างประเทศรายการสุดท้าย
- วันที่ 9 กันยายน ณ เวลา 17.30 น. ของประเทศอังกฤษ สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงเป็นกษัตริยาณีที่ปกครองประเทศยาวนานที่สุดเมื่อเทียบกับสถิติตัวเลขสูงสุดดั้งเดิมที่ 62 ปี ที่ทำไว้โดยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย พระราชมารดาของเสด็จทวด (พระเจ้าเอดเวิร์ดที่ 7) โดยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียครองราชสมบัติยาวนาน 62 ปี (1839-1901)
- วันที่ 21 เมษายน 2016: สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงฉลองครบรอบวันประสูติ 90 พรรษา ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลยาวนานกว่ากษัตริย์และกษัตริยาณีพระองค์ใดของอังกฤษ
ปี 2017: เป็นปีที่เหตุก่อการร้ายโดยกลุ่มอิสลามิสต์บ่อยครั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
- เดือนมีนาคม ผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ ขับรถพุ่งชนผู้คนมากมายที่เดินข้ามสะพานเวสต์มินสเตอร์ มีผู้ถูกสังหาร 4 ราย บาดเจ็บกว่า 50 ราย แล้วยังวิ่งไปในบริเวณพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ แทงเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 รายเสียชีวิต ก่อนจะถูกตำรวจทำวิสามัญฆาตกรรมตายตกตามเหยื่อรายอื่นๆ ไป
- เดือนพฤษภาคม ระเบิดฆ่าตัวตายโดยผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์อุบัติในพื้นที่แมนเชสเตอร์ สังหารประชาชนที่กำลังทยอยออกจากคอนเสิร์ต ส่งผลให้มีผู้ถูกสังหาร 22 ราย บาดเจ็บ 139 ราย ส่วนใหญ่เป็นเด็กวัยรุ่น
- เดือนมิถุนายน ผู้ก่อการร้ายอิสลามิสต์ 3 ราย ไล่แทงผู้คนบนสะพานลอนดอน บริดจ์ และตามผับบาร์ต่างๆ ในย่านตลาดโบโร่ มีผู้ถูกสังหาร 8 ราย และบาดเจ็บไม่น้อยกว่า 48 ราย ผู้ก่อการร้ายทั้งหมดถูกตำรวจวิสามัญฯ
พฤศจิกายน 2017: สมเด็จพระราชินีนาถฯ กับเจ้าชายฟิลิปผู้เป็นพระสวามี ฉลองครบรอบ 60 ปีการอภิเษกสมรส โดยทรงจัดปาร์ตี้เป็นการภายใน ณ ปราสาทวินด์เซอร์
ปี 2018: พระราชพิธีอภิเสกสมรสถูกจัดขึ้นระหว่างเจ้าชายแฮร์รีกับนางเมแกน มาร์เคิล นักแสดงหญิงอเมริกันผู้เป็นแม่ม่ายหย่าร้าง
ปี 2019: - เดือนตุลาคม ความขัดแย้งระหว่างเจ้าชายวิลเลียมและเจ้าชายแฮร์รีตกเป็นข่าว โดยเจ้าชายแฮร์รีตรัสยืนยันข่าวความร้าวฉานดังกล่าว
- เดือนพฤศจิกายน เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ประทานสัมภาษณ์แก่สถานีโทรทัศน์บีบีซี ยอมรับในเรื่องที่มีความสนิทสนมคุ้นเคยกับเจฟฟรีย์ เอปสไตน์ ผู้ซึ่งถูกจำคุกในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศต่อเยาวชน หลังจากนั้นไม่กี่วัน ทรงถูกสั่งให้ถอยจากพระราชกิจต่างๆ ทั้งหมด
ปี 2020: - โรคระบาดโควิด 19 แพร่ระบาดรุนแรงในอังกฤษตั้งแต่ต้นปี 2020 และตลอดทั้งปี 2020 ด้วย รวม 2 ระลอก พร้อมกับการล็อกดาวน์ประเทศ
- มกราคม เจ้าชายแฮร์รีและดัชเชสเมแกนประกาศถอนตัวจากภารกิจพระราชวงศ์ และในเดือนมีนาคมก็ย้ายครอบครัวไปปักหลักในสหรัฐฯ
ปี 2021: สมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ทรงสูญเสียเจ้าชายฟิลิป พระราชสวามี ผู้ทรงสิ้นพระชนม์อย่างสงบในเดือนเมษายน หลังจากที่เจ้าชายฟิลิปทรงมีพระอาการประชวรด้วยโรคโควิด 19 และพระอาการกระเตื้องขึ้นมาก และได้ทรงตัดสินพระทัยเสด็จกลับไปพักฟื้นในปราสาทวินด์เซอร์
ทั้งนี้ ในพระราชพิธีพระศพซึ่งจัดขึ้นในแนวปฏิบัติเว้นระยะห่างทางสังคมทุกประการ สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงสวมหน้ากากสีดำ ทระประทับนั่งเพียงลำพังพระองค์เดียวอย่างเงียบงัน ทรงแสดงให้สาธารณชนตระหนักว่า กฎระเบียบทุกอย่างต้องบังคับใช้กับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับพระองค์เอง
- เดือนพฤศจิกายน ประเทศบาร์เบโดสเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นประเทศสาธารณรัฐ สมเด็จพระราชินีนาถจึงทรงเป็นประมุขของประเทศต่างๆ ลดลงเหลือ 15 ประเทศ
ปี 2022: - เดือนมกราคม เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ทรงเป็นเหตุให้สถาบันกษัตริย์อังกฤษได้รับความเสื่อมเสียอย่างร้ายแรงอีกวาระหนึ่ง เมื่อทรงตกเป็นข่าวอื้อฉาวกรณีถูกฟ้องร้องในคดีเก่าในข้อหาการล่วงละเมิดทางเพศต่อเยาวชน และทรงถูกถอดจากตำแหน่งทางทหาร และต้องต่อสู้คดีดังกล่าวที่ทรงถูกฟ้องร้องในสหรัฐฯ
- วันที่ 6 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงเป็นประมุขแห่งสหราชอาณาจักรครบ 70 ปี ในพระราชวโรกาสนี้ ทรงมีพระราชดำรัสว่า เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตและเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์เสด็จขึ้นครองราชย์ ขอให้พสกนิกรมอบความสนับสนุนแก่คามิลลา พระชายาและดัชเชสแห่งคอร์นวอลล์ ในฐานะพระราชินีคู่พระราชบัลลังก์
- วันที่ 15 กุมภาพันธ์ เจ้าฟ้าชายแอนดรูว์ทรงสามารถไกล่เกลี่ยคดีด้วยเงินก้อนใหญ่ ในการนี้ ทรงยืนยันว่ามิได้กระทำความผิดใดๆ กระนั้นก็ตาม ทรงตกเป็นจำเลยสังคมในคดีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
- วันที่ 20 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงมีอาการพระประชวรด้วยโรคติดเชื้อโควิด 19 แบบที่มีลักษณะเป็นหวัดเล็กน้อย และในเวลาไม่นาน ทรงกลับสู่พระราชกรณียกิจต่างๆ ได้
70 ปีแห่งการครองราชย์ เป็นเส้นทางพระชนม์ชีพที่มิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ทรงประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง
ในท่ามกลางความเปลี่ยนอันมากมายและมหาศาลทั่วโลก สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงเป็นความมั่นคงและหลักอิงแก่พสกนิกร ทรงเป็นองค์ผู้แทนของอังกฤษในทางระหว่างประเทศ ทรงเป็นที่เคารพนับถือและชื่นชมด้วยบทบาทแห่งการเป็นแบบอย่างแห่งความถูกต้องและการรักษามาตรฐานระดับสูงให้แก่พสกนิกร ทรงชื่นชมความสำเร็จของประเทศ และทรงปลอบประโลมเมื่อชาติต้องเผชิญกับวิกฤต และทรงอยู่เหนือการต่อสู้ทางการเมืองทั้งปวง
ตลอด 70 ปีที่ทรงครองราชย์ สมเด็จพระราชินีนาถฯ ทรงรับนานาแรงกระแทกจากรอบด้าน ซึ่งบ่อยครั้งที่แรงกดดันเหล่านั้นเป็นปัจจัยลบต่อความสง่างามและน่าเชื่อถือของสถาบันกษัตริย์อังกฤษ โดยทรงรับมือด้วยกลยุทธ์ใช้ความสงบสยมความเคลื่อนไหว และ Keep Calm and Carry On ทั้งนี้ เคลลี บีเวอร์ ซีอีโอบริษัทอิปโซสที่ทำสำรวจทัศนคติในอังกฤษชี้ว่า พระองค์ทรงขึ้นไปเหนือข่าวลือข่าวอื้อฉาวทั้งปวง และจึงทรงรักษาความนิยมมาได้ด้วยดีโดยตลอด 7 ทศวรรษ
เอพีรายงานข้อสังเกตของเอมิลี แนช บรรณาธิการข่าวสายราชวงศ์ของนิตยสารเฮลโล HELLO! ว่า “พระองค์ประทับอยู่ตรงนั้นเสมอ ทรงปฏิบัติสิ่งต่างๆ ที่ต้องดูแล ทรงดำเนินพระราชกรณียกิจโดยไม่ปริปากบ่น ไม่มีดรามาส่วนพระองค์หลุดออกมา และผู้คนก็เคารพคุณลักษณ์เหล่านี้ของพระองค์”
กระนั้นก็ตาม ทิว่า อาดีบาโย นักวิจารณ์คนดังแห่งสื่อสังคมเชื่อว่าคนหนุ่มสาวต้องการ “ความโปร่งใสมากขึ้น” โดยต้องการให้พระราชวงศ์มีความเคลื่อนไหวมากขึ้นกว่ากลยุทธ์ “ไม่บ่น ไม่อธิบาย” แบบเดิมๆ ซึ่งพระราชวงศ์รุ่นใหม่ที่จะทรงรับสืบทอดพระราชภารกิจในอนาคต อาทิ เจ้าชายวิลเลียม รัชทายาทลำดับที่ 2 และดัชเชสแห่งเคมบริดจ์ ก็น่าจะเจริญรอยตามแนวปฏิบัติอันเป็นเลิศของเสด็จย่าสืบต่อไป เพราะกลยุทธ์ประการนี้พิสูจน์ผลดีมาอย่างเนิ่นนาน
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา: รอยเตอร์ เอพี บีบีซี ฐานข้อมูลรัฐสภาอังกฤษ)