xs
xsm
sm
md
lg

‘หัวเว่ย’ เอาชนะการถูกสหรัฐฯ แซงก์ชันห้ามขายชิปให้ และกลับมาทำกำไรได้สูงสุดเป็นสถิติใหม่

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: โรเบิร์ต ลิวอิส ***



(เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)

Huawei defeats US chip ban to post record profits
by Robert Lewis
28/04/2022

ผลประกอบการประจำปี 2021 ของหัวเว่ย ที่บริษัทประกาศออกมา เป็นการสาธิตให้เห็นข้อจำกัดของมาตรการแซงก์ชันของทางการสหรัฐฯ

ตอนที่สหรัฐฯ ประกาศบังคับใช้คำสั่งระดับทั่วโลก ห้ามขายชิปเซมิคอนดักเตอร์รุ่นก้าวหน้า ซึ่งมีส่วนประกอบของเทคโนโลยีอ่อนไหวที่มีต้นแหล่งจากสหรัฐฯ ให้แก่ หัวเว่ย เมื่อ 2 ปีที่แล้ว พอล ทริโอโล (Paul Triolo) หัวหน้าใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีธรณี (geotechnology) อยู่ที่ยูเรเชียกรุ๊ป (Eurasia Group) กลุ่มคลังสมองระดับอินเตอร์ เรียกความเคลื่อนไหวนี้ว่า เป็น “การระเบิดบริษัทเทคโนโลยีสำคัญที่สุดของจีนแห่งนี้ให้สิ้นชีวิต” [1] โดยที่เขาประมาณการว่ามันจะส่งผลกระทบอย่างแรงต่อสายธุรกิจของบริษัททุกๆ สาย

แต่ทั้งๆ ที่ถูกคาดหมายอย่างเลวร้ายสาหัสเช่นนี้ รายงานทางการเงินประจำปี 2021 ของ หัวเว่ย [2] ซึ่งประกาศให้ดูกันเมื่อตอนสิ้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา กลับชวนให้นึกถึงถ้อยคำเสียดสีอย่างมีอารมณ์ขันของนักเขียนเอก มาร์ก ทเวน (Mark Twain) ที่ว่า “รายงานข่าวเกี่ยวการเสียชีวิตของผมนั้นเป็นการพูดเกินความจริงเป็นอย่างมาก”

เนื่องจาก หัวเว่ยต้องเจอภาวะสะดุดติดขัดจากการถูกห้ามขายชิปให้ ตลอดจนจาก “ความท้าทายในเรื่องความต่อเนื่องของชิ้นส่วนวัตถุดิบต่างๆ” รวมทั้งการที่ความต้องการด้าน 5จี (เทคโนโลยีการสื่อสารเจเนอเรชันที่ 5) ในจีนกำลังชะลอตัว รายรับโดยรวมของบริษัทได้ลดฮวบลงมาอย่างแรงจริงๆ ถึง 28.5% ทีเดียว จากที่เคยทำได้ 891,300 ล้านหยวนเมื่อปี 2020 ก็เหลือ 636,800 ล้านหยวน (96,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2021 ถือเป็นการการตกลงมาครั้งแรกของรายรับประจำปีของบริษัทนับตั้งแต่ปี 2002 [3] ทั้งนี้ตามรายงานต่างๆ ซึ่งเผยแพร่โดยทางหัวเว่ยเอง

อย่างไรก็ดี ปรากฏว่ากำไรสุทธิของหัวเว่ย กลับพุ่งพรวดจาก 64,600 ล้านหยวนในปี 2020 ขึ้นสู่ระดับ 113,700 ล้านหยวน (17,220 ล้านดอลลาร์) ในปี 2021 ซึ่งถือเป็นการทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ และเป็นการทะยานลิ่วขึ้นมาถึง 75.9% บริษัทบอกว่าอัตราผลกำไรที่สูงขึ้นมามากเช่นนี้เป็นผลจากการลงทุนในด้านนวัตกรรม การปรับปรุงยกระดับประสิทธิผลทางด้านการดำเนินงาน และการปรับสมดุลของสายผลิตภัณฑ์ของบริษัทเสียใหม่ โดยหันมาเน้นพวกเซกเมนต์ธุรกิจที่ไม่ได้ความกระทบกระเทือนจากการถูกแซงก์ชัน และสามารถทำกำไรได้สูงกว่า

ธุรกิจของ หัวเว่ย ส่วนที่รู้สึกถึงผลกระทบจากเรื่องถูกห้ามขายชิปให้อย่างรุนแรงที่สุด ได้แก่ ธุรกิจสมาร์ทโฟน ซึ่งตามตัวเลขข้อมูลของบริษัทวิจัย เดลล์โอโร กรุ๊ป (Dell’Oro Group) ส่วนแบ่งของ หัวเว่ย ในตลาดทั่วโลก หดลงอย่างรุนแรงถึง 81.6% ในปี 2021 [4] เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทำให้บริษัทเหลือส่วนแบ่งในตลาดโลกเพียงแค่ 3% ตามหลังห่างมากๆ จากพวกคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นซัมซุง แอปเปิล เสียวหมี่ ออปโป หรือวีโว่

หัวเว่ย อยู่ในอันดับ 3 ของทั่วโลกในเรื่องการขายเครื่องมือถือเมื่อปี 2020 [5] โดยจัดส่งโทรศัพท์มือถือออกไปได้ 170 ล้านเครื่อง แต่ขณะเดียวกัน ชิปซึ่งบริษัทเก็บรวบรวมเอาไว้ในสต๊อกก่อนหน้าการถูกแบนห้ามขายชิปให้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ ก็ร่อยหรอลงไปมาก ตอนช่วงปลายปี 2020 หัวเว่ย ได้แยกเอา “ออเนอร์” (Honor) กิจการในเครือที่ดูแลโทรศัพท์มือถือแบบราคาถูก ออกไปเป็นบริษัทต่างหาก [6] ทั้งนี้ ออเนอร์ก็เจอผลกระทบในเรื่องการจำหน่ายสมาร์ทโฟนเช่นเดียวกัน

หัวเว่ยยังคงรักษาอันดับ 1 ในเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน 5จี

อย่างไรก็ตาม จุดโฟกัสของการแบนชิปนั้น มุ่งไปที่ธุรกิจสถานีฐาน 5จี ของหัวเว่ย เสมอมา โดยที่สหรัฐฯ พุ่งเป้าเล่นงานตรงจุดนี้ด้วยเหตุผลข้ออ้างว่า อุปกรณ์เครือข่ายการสื่อสารโทรคมนาคมของบริษัท ก่อให้เกิดความเสี่ยงทางด้านความมั่นคงแห่งชาติ สหรัฐฯ ยังได้โน้มน้าวชักจูงชาติพันธมิตรของตนหลายรายให้เจริญรอยตาม และสั่งห้ามไม่ให้ใช้อุปกรณ์ หัวเว่ย ในเครือข่าย 5จีทั้งหลายของพวกเขา

ทว่าสหรัฐฯ ไม่เคยเผยแพร่แสดงหลักฐานใดๆ เพื่อสนับสนุนข้อกล่าวอ้างที่ว่า หัวเว่ย อำนวยความสะดวกด้วยความกระตือรื้อร้นให้พวกหน่วยงานสปายสายลับจีนทำกิจกรรมสอดแนมจารกรรมต่างๆ [7] ขณะที่นักวิพากษ์วิจารณ์หลายรายก็แสดงความกังวลว่า การรณรงค์ต่อต้าน หัวเว่ย ของสหรัฐฯ น่าจะมีแรงขับดันสำคัญที่สุดจากผลประโยชน์ทางด้านการแข่งขัน ไม่ใช่ผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติ ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากการที่ หัวเว่ย มีฐานะครอบงำเหนือเจ้าอื่นๆ ในเรื่อง 5จี ในระดับทั่วโลก

ตอนที่ เมิ่ง หว่านโจว (Meng Wanzhou) ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ หัวเว่ย ถูกจับกุมคุมขังที่แคนาดาตามคำร้องขอของพวกเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2018 ในเวลาเดียวกับที่สหรัฐฯ กำลังพยายามชักชวนแคนาดาให้แบนอุปกรณ์ 5จี ของหัวเว่ย อยู่ด้วยนั้น ไฟแนนเชียลไทส์ สื่อทางการเงินชื่อดังของสหราชอาณาจักร ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า การจับกุม เมิ่ง มีความเสี่ยงที่จะถูกตีความว่า เป็น “การใช้อำนาจของอเมริกาเพื่อหาทางให้ได้รับผลบั้นปลายทางการเมืองและทางเศรษฐกิจที่ตนปรารถนา มากกว่าที่จะเป็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา” [8]

การปล่อยตัว เมิ่ง เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ภายหลังการประนอมยอมความซึ่งแทบไม่ได้มีการลงโทษอะไรเธอมากไปกว่าการตำหนิเล็กๆ น้อยๆ [9] มีแต่ยิ่งทำให้ความกังวลเช่นนี้ยิ่งมีน้ำหนัก

ถ้าหากมาตรการห้ามขายชิปให้ มีความมุ่งหมายเพื่อทำให้ความสามารถของ หัวเว่ย ในการแข่งขันในตลาดโครงสร้างพื้นฐาน 5จี อยู่ในอาการเป็นอัมพาตแล้ว เมื่อพิจารณากันจนถึงเวลานี้ก็ต้องมองว่าเรื่องนี้ประสบความล้มเหลวไม่เป็นท่า เนื่องจากบริษัทยังคงครองอันดับ 1 ของโลกในด้านนี้เอาไว้ได้ ทั้งนี้ตามตัวเลขข้อมูลของเดลล์โอโร กรุ๊ป หัวเว่ย ยังคงครองส่วนแบ่งตลาดทั่วโลกอยู่ 28.7% ในปี 2021 [10] เกือบๆ เท่ากับส่วนแบ่งตลาดของ อีริคสัน และโนเกีย รวมกัน โดยที่ 2 รายหลังนี้เป็นคู่แข่งที่อยู่ในอันดับถัดๆ ลงมาจาก หัวเว่ย

อย่างไรก็ดี พวกนักวิเคราะห์อุตสาหกรรมด้านนี้บางรายยังคงทำนายว่า หัวเว่ย จะประสบกับปัญหาอุปสรรคต่างๆ เพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไปอยู่ดี - โดยที่ส่วนแบ่งในตลาดสถานีฐาน 5จี ทั่วโลกของบริษัทไต่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดเสียแล้วตั้งแต่ตอนเริ่มไตรมาสแรกของปี 2020 และจากนั้นก็ประสบกับภาวะถอยหลังอย่างชัดเจนเรื่อยมาจนกระทั่งถึงกลางปี 2021 โดยที่สัญญาณต่างๆ ชี้เห็นว่ามีความเป็นไปได้ที่ หัวเว่ย จะเจอกับส่วนแบ่งตลาดหดหายลงอย่างสำคัญต่อไปอีกในตลาดซึ่งอยู่นอกประเทศจีน เนื่องจากคาดหมายกันว่าพวกประเทศสหภาพยุโรปจะข้าร่วมกับสหรัฐฯ ในการแบนอุปกรณ์ 5จี ของหัวเว่ย

แต่ในอีกด้านหนึ่ง ต้นทุนค่าใช้จ่ายในการแบน หัวเว่ย ก็กำลังเพิ่มสูงขึ้นเหมือนกัน ในปีนี้ คณะกรรมาธิการการสื่อสารสหรัฐฯ (Federal Communications Commission หรือ FCC) ของสหรัฐฯ รายงานว่า ประมาณการค่าใช้จ่ายสำหรับ “การรื้อถอนและการเปลี่ยน” อุปกรณ์การสื่อสารของหัวเว่ย และแซดทีอี (ZTE) ในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้นลิ่วจาก 1,800 ล้านดอลลาร์ กลายเป็น 5,600 ล้านดอลลาร์ [11]

การสั่งห้ามนี้ ยังกำลังส่งผลกระทบต่อเรื่องความครอบคลุมของเครือข่ายการสื่อสารในพื้นที่ชนบทของอเมริกา [12] ซึ่งอุปกรณ์เครือข่ายของจีนเคยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ 25% ก่อนที่จะเจอคำสั่งแบน เวลาเดียวกัน สหราชอาณาจักรและสหภาพยุโรปก็กำลังประสบกับเสียงเรียกร้องให้ชะลอเรื่องการถอดถอนอุปกรณ์ หัวเว่ย ออกจากเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมของพวกตนไปก่อน [12] ด้วยเหตุผลในทำนองเดียวกัน

แต่กระทั่งถ้าหากว่าพวกประเทศตะวันตกรายสำคัญๆ ยึดมั่นอยู่กับประกาศแบนอุปกรณ์หัวเว่ยตามอย่างสหรัฐฯ ต่อไปอีก ก็ยังคงมีสัญญาณทางบวกจำนวนมากสำหรับลู่ทางโอกาสเรื่อง 5จี ของหัวเว่ยในทั่วโลก

เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว สถาบันการพัฒนาโพ้นทะเล (Overseas Development Institute หรือ ODI) หน่วยงานคลังสมองที่ตั้งฐานอยู่ในกรุงลอนดอน มีข้อสรุปของการศึกษาวิจัยออกมาว่า “ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมีนโยบายความมั่นคงร่วม (ของนานาชาติ) ออกมา ซึ่งมุ่งไปที่เรื่องการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของจีน”

รายงานการศึกษานี้กล่าวอีกว่า “ความกังวลที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นเกี่ยวกับเรื่องการต้องตกอยู่ใต้การพึ่งพาทางด้านเทคโนโลยี เป็นสิ่งซึ่งกำลังเร่งรัดให้พวกประเทศพัฒนาแล้วที่มีฐานะร่ำรวยบางราย ดำเนินการประเมินทบทวนเสียใหม่เกี่ยวกับการเข้ามีปฏิสัมพันธ์กับจีนในเรื่องการจัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล แต่สำหรับพวกประเทศกำลังพัฒนาที่ยากจนแล้ว พวกเขามีความลังเลใจที่จะเจริญรอยตามในเรื่องนี้” [13]

โอดีไอ ชี้ว่า หัวเว่ย สามารถที่จะอาศัยความได้เปรียบจากราคาที่จูงใจกว่าของตน มาบวกเข้ากับการปล่อยเงินกู้เชิงนโยบายจากพวกธนาคารชั้นนำแห่งต่างๆ ของจีน เพื่อเอาชนะการแข่งขันในประเทศเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่จำนวนมาก ทั้งนี้รายงานฉบับนี้ยกตัวอย่างว่า หัวเว่ย และแซดทีอี รวมกันแล้วเป็นผู้ครอบครองยอดขายอุปกรณ์ไร้สายในแอฟริกาและตะวันออกกลางถึงประมาณ 60% ทีเดียว ยังมีนักวิเคราะห์รายอื่นๆ ซึ่งค้นพบในทำนองเดียวกันว่า พวกระบบเศรษฐกิจกำลังพัฒนายังคงยินดีต้อนรับอุปกรณ์ของหัวเว่ย

อย่างที่รายงานเอาไว้โดยนิตยสารฟอร์บส์ [14] บริษัทวิจัย เคาน์เตอร์พอยต์ รีเสิร์ช (Counterpoint Research) และแบรนด์สมาร์ทโฟน “เรียลมี” (Realme) คาดการณ์กันเอาไว้ว่า หลังจากอัตราการนำเอา 5จี ไปใช้ในพวกตลาดพัฒนาแล้ว สูงขึ้นไปถึงระดับ 80-90% ในอีกสองสามปีข้างหน้า จากนั้นคลื่นระลอกต่อไปของการเติบโตขยายตัวอย่างน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับ 5จี ก็จะขับดันโดยพวกตลาดเกิดใหม่ที่ประชากรจำนวนมากเป็นพวกผู้บริโภควัยหนุ่มสาวซึ่งมีการติดต่อเชื่อมโยงผ่านอุปกรณ์สื่อสารไร้สายเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พวกนี้แหละต่างก็จะกลายเป็นตลาดซึ่ง หัวเว่ย น่าที่เข้าไปครองฐานะเหนือกว่าชนิดทิ้งห่างคู่แข่งรายอื่นๆ

การสร้างนวัตกรรมซิกแซ็กสืบเนื่องจากถูกสหรัฐฯ แบนไม่ขายชิปให้

ถึงแม้การถูกห้ามขายชิปให้ ยังคงมีผลกระทบต่อธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน 5จี ของหัวเว่ย แต่อุปกรณ์สถานีฐานนั้นต้องการใช้เซมิคอนดักเตอร์น้อยกว่าสมาร์ทโฟน [15] และทางบริษัทก็สามารถที่จะสต๊อกส่วนประกอบต่างๆ เอาไว้อย่างเพียงพอสำหรับประคับประคองการผลิตต่อไปได้อย่างน้อยก็ในช่วงระยะสั้น

ทั้งรัฐบาลจีน และหัวเว่ย ต่างต้องการไปให้ถึงการพึ่งตนเองได้ในเรื่องเซมิคอนดักเตอร์ [16] แต่เรื่องนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเป้าหมายที่ยากลำบากแก่การทำให้สำเร็จในระยะเวลาอันใกล้

อย่างไรก็ตาม ระหว่างการประชุมแถลงข่าวเมื่อเร็วๆ นี้เพื่อประกาศรายงานทางการเงินประจำปี 2021 เกา ผิง (Guo Ping) ผู้เป็นประธานตามวาระหมุนเวียนของ หัวเว่ย พูดเป็นนัยๆ ว่า บริษัทยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ มากกว่านี้เก็บเอาไว้ยังไม่มีการเปิดเผย ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการถูกแบนไม่ขายชิปให้ นี่ดูจะเป็นการบ่งบอกให้เห็นว่าบริษัทจะเริ่มต้นใช้เทคโนโลยีการแพกเกจชิประดับก้าวหน้า (advanced chip-packaging technology) กันแล้ว พวกผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมนี้ของจีน เคยเรียกร้อง หัวเว่ย ให้เดินหน้าเทคโนโลยีนี้ ณ การประชุมเซมิคอนดักเตอร์โลก (World Semiconductor Conference) ซึ่งจัดขึ้นในนครหนานจิง มณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว

ขณะที่ให้สัมภาษณ์ เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ สื่อภาษาอังกฤษออกในฮ่องกง [17] หวัง หมิน (Wang Min) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีการแพกเกจชิป อธิบายว่า หัวเว่ยอาจจะสามารถใช้ 1 ใน 2 หนทางที่มีความเป็นไปได้ เพื่อหลบเลี่ยงปัญหาการถูกสหรัฐฯ แบนไม่ขายชิปให้ ประการแรกคือ บริษัทสามารถ “ใช้โหนด (node) ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นมาผลิตชิป ซึ่งมีข้อเสียตรงที่จะมีการกินไฟมากขึ้น” หรืออีกหนทางหนึ่ง บริษัทสามารถที่จะ “ประกอบชิปต่างประเภทกันเข้าด้วยกัน ซึ่งสามารถทำให้เกิดเป็น SiP (system in package) ขึ้นมา เพื่อทำชิปที่มีความสมบูรณ์ในขั้นสุดท้าย”

หวัง บอกว่า ทางเลือกแบบใช้ระบบ SiP นี้ก็มีข้อเสียในเรื่องกินไฟมากเช่นกัน แต่มันก็เป็นหนทางที่มีวงจรในการพัฒนาสั้นกว่า และต้นทุนโดยรวมก็ต่ำกว่า

มาตรการแซงก์ชันย่อมมีข้อจำกัดของมัน

ขณะที่เทคโนโลยีเพื่อการทำงานแบบซิกแซ็กดังที่กล่าวมานี้ สามารถที่จะหลบเลี่ยงการที่ หัวเว่ย ถูกแบนไม่ให้ซื้อชิปเซมิคอนดอกเตอร์ระดับก้าวหน้า แต่มันก็ยังไม่ได้แก้ไขปัญหาเรื่องประเทศพัฒนาแล้วจำนวนมากสั่งห้ามซื้อหาอุปกรณ์ 5จีของหัวเว่ย

กระนั้นก็ดังที่ชี้ไปแล้วข้างต้น ยังคงมีตลาดอื่นๆ ที่เปิดกว้างอยู่สำหรับ หัวเว่ย แถมเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโตสูงที่สุดในอนาคตเสียด้วย นั่นคือพวกประเทศส่วนข้างมากในทั่วโลกซึ่งไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยของเครือข่าย อย่างที่สหรัฐฯ หยิบยกขึ้นมากล่าวหา (ทว่าไม่เคยพิสูจน์ยืนยันให้เห็นกันชัดๆ ในที่สาธารณะ)

ยิ่งกว่านั้น ประเทศเดียวกันเหล่านี้จำนวนมาก ยังกำลังจับจ้องมองด้วยความระมัดระวังตัวต่อการที่โลกตะวันตกบังคับใช้มาตรการแซงก์ชันทางการเงินอย่างชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเพื่อมุ่งเล่นงานรัสเซีย จนเรื่องนี้กำลังส่งผลให้กลายเป็นการเร่งทวีแนวโน้มของการผละออกจากการใช้เงินดอลลาร์ ทั้งนี้เนื่องจากพวกเขารู้สึกว่าจะต้องพยายามหลีกเลี่ยง “การถูกคว่ำบาตรทางการเงิน” [18] ถ้าหากพวกเขาเกิดไปละเมิดเส้นแดงต่างๆ ที่กำหนดขึ้นมาโดยสหรัฐฯ ทว่าวอชิงตันไม่ได้เปิดเผยแต่จงใจปกปิดเอาไว้

ในทางกลับกัน เรื่องนี้อาจจะทำให้ยิ่งเป็นความท้าทายเพิ่มมากขึ้นสำหรับสหรัฐฯ ในการเกลี้ยกล่อมพวกประเทศพัฒนาน้อยกว่าทั้งหลายให้เข้าร่วมในการแบนอุปกรณ์ 5จี ของ หัวเว่ย โดยเฉพาะถ้าหากเรื่องนี้ถูกมองว่าคืออีกตัวอย่างหนึ่งของสหรัฐฯ ในการใช้ฐานะครอบงำตลาดทั่วโลกของตนมาเป็นอาวุธ แทนที่จะทำหน้าที่ในฐานะผู้ได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจของระบบดังกล่าวเพื่ออำนวยผลประโยชน์ให้แก่ผู้เข้าร่วมในตลาดทุกๆ ราย

หัวเว่ย เวลานี้สาธิตให้เห็นกันแล้วว่า ยุทธศาสตร์ทางธุรกิจและนวัตกรรมทางเทคนิคสามารถที่จะใช้เป็นธนูอีกดอกหนึ่งสำหรับเป็นมาตรการตอบโต้การแซงก์ชันที่ใช้กันในระดับบริษัท ขณะที่บริษัทมีการประดิษฐ์สร้างตัวเองเสียใหม่เพื่อทำให้มั่นใจว่า ตนเองไม่เพียงสามารถอยู่รอดได้อย่างต่อเนื่องท่ามกลางผลกระทบระยะสั้นของการแซงก์ชันเท่านั้น แต่ยังสามารถวางตำแหน่งของตนเองให้มั่งคั่งรุ่งเรืองขึ้นมาได้ในระยะกลางจนถึงระยะยาว เมื่อพลวัตของตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เอื้ออำนวยแก่บริษัทมากยิ่งขึ้น

ท่ามกลางพื้นหลังเช่นนี้ บางทีอาจจะมีคุณค่าที่จะชี้ให้เห็นว่า ในการเปิดตัวรายงานทางการเงินประจำปี 2021 ของ หัวเว่ย ครั้งนี้ ผู้ที่ออกมาแถลงข่าวคือ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน เมิ่ง หว่านโจว โดยนี่เป็นการปรากฏตัวต่อสาธารณชนครั้งใหญ่ครั้งแรกของเธอภายหลังจากได้รับการปล่อยตัวแล้วอีกด้วย --ถือเป็นสัญลักษณ์อันชาญฉลาดของการที่ หัวเว่ย มีสภาพเหมือนกับเป็นนกฟีนิกส์ ซึ่งยังคงสามารถผงาดขึ้นมาจากกองขี้เถ้าที่ได้รับคาดหมายเอาไว้โดยพวกผู้เชี่ยวชาญอุตสาหกรรมว่า คือชะตากรรมที่บริษัทจะต้องประสบจากการถูกเล่นงานด้วยการแซงก์ชันซึ่งมุ่งทำให้พินาศย่อยยับ

ห่างไกลนักหนาจากการเจ็บหนักเพราะเจอ “การระเบิดเอาให้ถึงตาย” จากมาตรการแซงก์ชัน หัวเว่ย กลับประสบความสำเร็จในการฝ่าข้ามผ่านดงกับระเบิดแห่งแซงก์ชัน และในทางเป็นจริงแล้วบริษัทอาจจะกำลังกลายเป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งสาธิตให้เห็นถึงข้อจำกัดโดยธรรมชาติของพวกมาตรการแซงก์ชันทางเศรษฐกิจทั้งหลาย

โรเบิร์ต ลิวอิส เป็นทนายความที่ตั้งฐานอยู่ในปักกิ่ง เขาได้รับใบอนุญาตว่าความที่รัฐแคลิฟอร์เนียมาตั้งแต่ปี 1985 และผ่านการทำงานในสำนักงานกฎหมายแห่งสำคัญๆ ทั้งในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร และจีน เป็นเวลาเกือบ 30 ปี ปัจจุบันเขาเป็นที่ปรึกษาระหว่างประเทศอาวุโสอยู่ที่สำนักงานกฎหมาย แชนซ์ บริจด์ พาร์ตเนอร์ส (Chance Bridge Partners) รวมทั้งเป็นผู้ร่วมก่อตั้งและผู้เชี่ยวชาญอาวุโสอยู่ที่ ด็อคคิวบ็อต (docQbot) เขาเป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง The Rules of the Game of Global M&A : Why So Many Chinese Outbound Deals Fail เขาพูดภาษาจีนกลางได้อย่างคล่องแคลว รวมทั้งสามารถเขียนภาษาจีนได้

เชิงอรรถ
[1] https://www.google.com/url?q=https://www.cnn.com/2020/08/17/tech/huawei-us-sanctions-hnk-intl/index.html&sa=D&source=docs&ust=1651132513649746&usg=AOvVaw1UlRN_yZl8DxLu4LqLR4JF
[2] https://www.google.com/url?q=https://www-file.huawei.com/minisite/media/annual_report/annual_report_2021_en.pdf?version%3D0401&sa=D&source=docs&ust=1651132513645809&usg=AOvVaw2dndKPwKO2CsEeS6N6bQSA
[3] https://www.google.com/url?q=https://www.cnbc.com/2022/03/28/huawei-annual-results-2021-revenue-declines-but-profit-surges.html&sa=D&source=docs&ust=1651132513643419&usg=AOvVaw30qch_k2GGKbMrtlmfwj_N
[4] https://www.google.com/url?q=https://pandaily.com/huawei-topped-2021-global-communications-equipment-market/&sa=D&source=docs&ust=1651132513641474&usg=AOvVaw2jCOjI5elHbIncYJAevVkq
[5] https://www.google.com/url?q=https://technode.com/2021/01/06/huawei-to-fall-to-seventh-place-in-2021-global-handset-rankings-report/&sa=D&source=docs&ust=1651132513646916&usg=AOvVaw3SuwCbc3WzSz3AzXpcVsKJ
[6] https://www.google.com/url?q=https://technode.com/2020/11/17/huawei-sells-honor-brand-to-state-backed-group/&sa=D&source=docs&ust=1651132513634900&usg=AOvVaw3Sta1OtMZjpwfudHNNLjP_
[7] https://www.google.com/url?q=https://news.sky.com/story/huawei-the-company-and-the-security-risks-explained-11620232&sa=D&source=docs&ust=1651132513635639&usg=AOvVaw0dedd8FJlHLKLDquJM2j93
[8] https://www.google.com/url?q=https://www.ft.com/content/505a7be6-f955-11e8-af46-2022a0b02a6c&sa=D&source=docs&ust=1651132513639365&usg=AOvVaw0czJmHIGRf-lAS0VW3NPyP
[9]https://www.google.com/url?q=https://www.lexology.com/library/detail.aspx?g%3Ddf2a7f76-c7b7-41ba-a1d1-4e9f709443cf&sa=D&source=docs&ust=1651132513633842&usg=AOvVaw0xIa1QJxYKVkFB7LO0Zl2W
[10] https://www.google.com/url?q=https://pandaily.com/huawei-topped-2021-global-communications-equipment-market/&sa=D&source=docs&ust=1651132513642391&usg=AOvVaw2PeY9K5ZqB8MLFWyNM2VKt
[11] https://www.google.com/url?q=https://www.theverge.com/2022/2/4/22918611/rip-and-replace-hauwei-zte-fcc-cell-network-securty&sa=D&source=docs&ust=1651132513638646&usg=AOvVaw3gsuEpJcx-aF_E_HoXkkLb
[12] https://www.google.com/url?q=https://techhq.com/2022/02/the-us-is-paying-a-hefty-price-for-banning-chinese-5g-gear/&sa=D&source=docs&ust=1651132513648894&usg=AOvVaw2MPBTo5st8p4OAn7apG3S7
[13] https://www.google.com/url?q=https://www.neowin.net/news/delay-hits-uk039s-plans-to-remove-huawei-from-5g-network/&sa=D&source=docs&ust=1651132513647867&usg=AOvVaw1dlzLb9ufLFc8kMlubXKbu
[14]https://www.google.com/url?q=https://www.forbes.com/sites/realme/2021/06/07/next-wave-of-5g-growth-to-be-led-by-youth-in-emerging-markets-realme-and-counterpoint-whitepaper/?sh%3D474ba8f029b6&sa=D&source=docs&ust=1651132513633204&usg=AOvVaw3hEP7FMcJKXW6v2ZwGyCNj
[15] https://www.google.com/url?q=https://asia.nikkei.com/Spotlight/Huawei-crackdown/Huawei-s-5G-business-contracts-top-1-000-spanning-20-industries&sa=D&source=docs&ust=1651132513644746&usg=AOvVaw0W59rFHSnDYf10hx1DhujS
[16]https://www.google.com/url?q=https://www.lexology.com/library/detail.aspx?g%3D9d876396-05ae-4cd4-bac5-699ce4b751d0&sa=D&source=docs&ust=1651132513637622&usg=AOvVaw0uDWsQypseCLZ4R6bsM7b2
[17] https://www.google.com/url?q=https://www.scmp.com/tech/big-tech/article/3173432/chinese-telecoms-giant-huawei-pushes-semiconductor-packaging&sa=D&source=docs&ust=1651132513636753&usg=AOvVaw217ht3fj-gdX4rhmhqG32Q
[18] https://www.google.com/url?q=https://www.economist.com/finance-and-economics/2021/04/22/sanctions-are-now-a-central-tool-of-governments-foreign-policy&sa=D&source=docs&ust=1651132513640602&usg=AOvVaw23GusWvYRsPYUEkdhWwgGl
กำลังโหลดความคิดเห็น