มอสโกกล่าวหานาโต้ทำสงครามตัวแทนด้วยการติดอาวุธให้ยูเครน พร้อมเตือนว่าการกระทำเช่นนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงอย่างแท้จริงและร้ายแรงที่จะนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 3 ซึ่งห้ำหั่นกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ขณะเดียวกัน ทางด้านอเมริกาประกาศในที่ประชุมความมั่นคงที่มีพันธมิตรกว่า 40 ประเทศเข้าร่วมว่า โลกกำลังถูกปลุกเร้าให้ร่วมกันต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย ด้วยการจัดหาอาวุธให้เคียฟอย่างต่อเนื่อง ชี้ช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของสงครามยูเครน
เซียร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ตอบคำถามระหว่างให้สัมภาษณ์สถานีทีวีของรัฐบาลเมื่อวันจันทร์ (25 เม.ย.) เกี่ยวกับความสำคัญของการหลีกเลี่ยงสงครามโลกครั้งที่ 3 และสถานการณ์ปัจจุบันสามารถเทียบได้กับวิกฤตการณ์ขีปนาวุธคิวบาเมื่อปี 1962 หรือไม่ โดยบอกว่า ขณะนี้มีความเสี่ยงอย่างแท้จริงซึ่งไม่ควรถูกประเมินต่ำเกินไป
ลาฟรอฟ กล่าวหาว่า องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) กำลังทำสงครามกับรัสเซียผ่านตัวแทนคือยูเครน และกำลังติดอาวุธให้ยูเครน
การให้สัมภาษณ์ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียมีขึ้นหนึ่งวันก่อนที่ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา จะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมที่ฐานทัพแรมสไตน์ในเยอรมนีเพื่อหารือเกี่ยวกับการจัดหาอาวุธช่วยยูเครนรบกับรัสเซียในพื้นที่ด้านตะวันออกของประเทศ
ออสตินที่เพิ่งเสร็จสิ้นการเยือนเคียฟพร้อมกับแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กล่าวเมื่อวันอังคาร (26) ว่า การประชุมครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ประเทศต่างๆ จากทั่วโลกมีจุดยืนเดียวกันในการสนับสนุนให้ยูเครนต่อต้านการรุกรานของรัสเซีย
นอกจากนั้น ก่อนการหารือจะเริ่มต้นขึ้น พล.อ.มาร์ก มิลลีย์ ประธานคณะเสนาธิการทหารร่วมของอเมริกา กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญในการประชุมคือการร่วมมือเพื่อเพิ่มความช่วยเหลือด้านความมั่นคง ซึ่งรวมถึงอาวุธหนักอย่างปืนใหญ่วิถีโค้ง เพื่อให้ยูเครนสามารถป้องกันตัวเองจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องและเด็ดขาดของรัสเซียในพื้นที่ด้านตะวันออก
มิลลีย์ เสริมว่า ช่วงหลายสัปดาห์ข้างหน้าจะเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก ซึ่งยูเครนจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องเพื่อชัยชนะในสนามรบ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของการประชุมครั้งนี้
ฝ่ายตะวันตกออกข่าวเล่าเรื่องว่า หลังจากถูกตอบโต้จากกองทัพยูเครน รัสเซียต้องถอยร่นจากการบุกโจมตีทางด้านเหนือ ที่รวมถึงการตีกรุงเคียฟด้วย และตอนนี้ปรับแผนส่งทหารเปิดฉากบุกภาคพื้นดินด้านตะวันออกในเขตดอนบาสส์ ขณะที่ฝ่ายรัสเซียเล่าเรื่องไปอีกอย่างหนึ่ง โดยอ้างว่าตนเองมีแผนบุกดอนบาสส์เป็นสำคัญมาตั้งแต่ต้น สำหรับการรุกทางภาคเหนือ เป็นการดึงทัพยูเครนไว้ ไม่ให้ไปช่วยกองกำลังหลักของยูเครนในภาคตะวันออก ซึ่งตอนนี้ถูกฝ่ายตนปิดล้อมเอาไว้
เจ้าหน้าที่อเมริกันที่ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน บอกว่า ตามการประเมินของสหรัฐฯ การโจมตีในภาคตะวันออก รัสเซียจะต้องพึ่งการโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างมาก และจะเคลื่อนพลภาคพื้นดินพร้อมกันจากหลายทิศทางเพื่อปิดล้อมและทำลายกองกำลังยูเครน
กระนั้น วอชิงตันประเมินว่า ทหารรัสเซียหลายหน่วยสูญเสียกำลังพลไปแล้วถึง 30% ซึ่งมากเกินกว่าจะรบต่อได้เป็นเวลานาน
ขณะเดียวกัน เบน วอลเลซ รัฐมนตรีกลาโหมอังกฤษ อ้างการประเมินของหน่วยข่าวกรองอังกฤษว่า รัสเซียสูญเสียทหารไปแล้วถึงราว 15,000 นาย และยานยนต์หุ้มเกราะ 2,000 คัน ซึ่งรวมถึงรถถัง 530 คัน ยังไม่นับเฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขับไล่อีก 60 ลำ
รัสเซียนั้นเคยให้ตัวเลขว่า ทหารเสียชีวิต 1,351 นาย และบาดเจ็บ 3,825 นาย
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ยังตั้งข้อสังเกตว่า ถึงอย่างไรรัสเซียก็มีอาวุธล้ำสมัยและกำลังพลมากกว่ายูเครน อีกทั้งแสดงความพร้อมส่งกำลังเข้าไปในสนามรบเพิ่ม
ขณะที่พวกผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมและนักเศรษฐศาสตร์ของฝ่ายตะวันตกพากันเชื่อว่า มอสโกมีความพร้อมทางเศรษฐกิจในการทำสงครามในยูเครนในระยะยาว แม้ถูกตะวันตกรวมหัวแซงก์ชันก็ตาม
สำหรับยูเครนนั้น ฝ่ายตะวันตกยกย่องว่านอกจากมีกำลังขวัญดีแล้ว ยังมีกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์และปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับสถานการณ์ในสนามรบ รู้จักพื้นที่เป็นอย่างดี ตลอดทั้งได้รับอาวุธและข่าวกรองจากอเมริกาและพันธมิตร
ด้านคริสติน แลมเบรชต์ รัฐมนตรีกลาโหมเยอรมนี ประกาศว่า เป็นครั้งแรกที่เบอร์ลินจะอำนวยความสะดวกในการส่งปืนต่อต้านอากาศยานเกพาร์ด ให้ยูเครน
นอกจากนั้นเมื่อวันจันทร์ กระทรวงต่างประเทศสหรัฐฯ ยังประกาศว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อเร่งรัดการขายกระสุนมูลค่า 165 ล้านดอลลาร์ให้ยูเครน ที่ครอบคลุมถึงกระสุนปืนใหญ่วิถีโค้ง รถถัง และเครื่องยิงลูกระเบิด
ขณะเดียวกัน อันโตนิโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ มีกำหนดเดินทางไปมอสโกในวันอังคารเพื่อพบกับประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน และลาฟรอฟ ซึ่งถือเป็นความพยายามผลักดันแนวทางสันติภาพครั้งสำคัญที่สุดนับจากรัสเซียรุกรานยูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ แม้ชาติตะวันตกออกปากว่า คาดหวังน้อยมากกับการเยือนครั้งนี้ก็ตาม