เครมลินเตือนการที่อเมริกาส่งอาวุธและความช่วยเหลือทางทหารให้ยูเครนไม่หยุดหย่อน อาจทำลายโอกาสในการบรรลุข้อตกลงสันติภาพระหว่างมอสโก-ยูเครน พร้อมกันนี้ รัสเซียยังสำทับว่า อาจสะบั้นสัมพันธ์กับชาติตะวันตกหากนักการทูตรัสเซียยังถูกขับกลับประเทศ ด้านเซเลนสกี เรียกร้องให้นานาชาติแซงก์ชันขั้นหนักกระทั่งรัสเซียยอมยุติสงคราม หลังจากกล่าวหาบางประเทศเห็นแก่ความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจมากกว่าการลงโทษอาชญากรสงคราม
ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน กล่าวระหว่างแถลงข่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (7 เม.ย.) ว่า การที่วอชิงตันตัดสินใจจัดหาอาวุธและความช่วยเหลือทางทหารให้ยูเครนอย่างต่อเนื่องอาจบ่อนทำลายความสำเร็จในการเจรจาระหว่างมอสโก-ยูเครน
นอกจากนั้น เมื่อวันพุธ (6) เปสคอฟยังเตือนว่า การที่ชาติตะวันตกจำนวนมากขับนักการทูตรัสเซียกลับประเทศถือเป็นการคุกคามความสัมพันธ์ทางการทูต และหากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป เป็นไปได้ที่มอสโกจะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเหล่านั้น
ทั้งนี้ อิตาลี สเปน และเดนมาร์ก ขับนักการทูตรัสเซียรวม 70 คนเมื่อวันอังคาร (5) หลังจากก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน เยอรมนีและฝรั่งเศสดำเนินการเช่นเดียวกันกับนักการทูตรัสเซีย 35 คน และ 40 คนตามลำดับ
ความเคลื่อนไหวนี้มีขึ้นหลังจากยูเครนเผยแพร่ภาพพลเมืองถูกสังหารหมู่ในเมืองบูชา
อย่างไรก็ดี ตะวันตกเริ่มขับนักการทูตรัสเซียก่อนหน้านี้แล้ว ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียกว่า 40 คนถูกส่งกลับจากเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ และไอร์แลนด์เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ขณะที่โปแลนด์ไม่ได้แค่ขับนักการทูตรัสเซีย 45 คน โดยกล่าวหาว่าเป็นสายลับเท่านั้น แต่ยังอายัดบัญชีของสถานเอกอัครราชทูตรัสเซียเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ซึ่งฝ่ายรัสเซียกล่าวว่าเป็นการละเมิดอนุสัญญากรุงเวียนนาที่เป็นแนวทางสำหรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศต่างๆ
ส่วนที่กรุงเคียฟ ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวระหว่างการปราศรัยทางวิดีโอรายวันเมื่อวันพฤหัสฯ ว่า โลกประชาธิปไตยต้องหยุดซื้อน้ำมันรัสเซีย และปิดกั้นแบงก์รัสเซียไม่ให้เข้าถึงระบบการเงินระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง รวมถึงสกัดกั้นการจัดส่งเทคโนโลยีและวัสดุสำหรับผลิตอาวุธให้รัสเซีย
เซเลนสกี สำทับว่า นักการเมืองบางคนยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะจำกัดการหลั่งไหลของเงินดอลลาร์และยูโรเข้าสู่อุตสาหกรรมพลังงานของรัสเซียได้อย่างไรโดยไม่ทำให้เศรษฐกิจของตนเองต้องเสี่ยง
ขณะที่ดมิโทร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน เรียกร้องให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) ส่งเครื่องบิน ระบบป้องกันภัยทางอากาศ ขีปนาวุธ และยานยนต์ทางทหารให้ยูเครนเพิ่ม
ทั้งนี้ เมื่อวันพุธ วอชิงตันประกาศมาตรการใหม่ซึ่งรวมถึงการแซงก์ชันลูกสาว 2 คนของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน คือ มาเรีย โวรอนต์โซวา และแคเทอรินา ตีฮอนโนวา รวมถึงภรรยาและลูกสาวของเซียร์เก ราฟลอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย และแบงก์ใหญ่แดนหมีขาวคือ สเบอร์แบงก์ และอัลฟา แบงก์ รวมทั้งห้ามบริษัทอเมริกันลงทุนในรัสเซีย และเรียกร้องให้ขับรัสเซียออกจากกลุ่มจี20
นอกจากนั้น ในวันพฤหัสฯ ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ จะลงมติเกี่ยวกับการปลดรัสเซียจากคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน ตามการผลักดันของสหรัฐฯ และประเทศตะวันตก
อย่างไรก็ตาม ทางด้านสหภาพยุโรป (อียู) เมื่อวันพุธกลับแสดงความไม่เป็นเอกภาพกันในการอนุมัติมาตรการแซงก์ชันรอบใหม่ ที่จะครอบคลุมถึงการแบนนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย และห้ามเรือรัสเซียเทียบท่า โดยโจเซฟ บอร์เรล ประธานด้านนโยบายการต่างประเทศของอียู กล่าวแก้ต่างว่า จะมีการผ่านร่างมาตรการแซงก์ชันในวันพฤหัสฯ (7) หรือศุกร์ (8) นอกจากนั้น อียูยังจะหารือเรื่องการคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซียในเร็วๆ นี้อีกด้วย
ทว่าแหล่งข่าวในอียูเผยว่า แม้อาจมีการอนุมัติการแบนถ่านหินในวันพฤหัสฯ แต่จะมีผลบังคับใช้จริงในเดือนสิงหาคม ช้ากว่าที่เสนอก่อนหน้านี้ 1 เดือน หลังถูกเยอรมนีกดดัน
นอกจากนั้น ฮังการีที่เป็นสมาชิกอียูรายหนึ่งแต่ผู้นำชุดปัจจุบันสนิทสนมกับปูติน ยังประกาศว่า พร้อมจ่ายค่าก๊าซด้วยรูเบิลตามที่รัสเซียเรียกร้อง การตัดสินใจของฮังการีที่ถูกยูเครนวิจารณ์ว่าเป็น “การกระทำที่ไม่เป็นมิตร” ตอกย้ำว่า ยุโรปยังคงพึ่งพิงก๊าซและน้ำมันรัสเซียอย่างมาก โดยรัสเซียจัดหาก๊าซธรรมชาติให้อียูถึง 40% ของปริมาณการบริโภค และน้ำมัน 1 ใน 3 ของปริมาณการนำเข้า
หลังจากเผยแพร่ภาพพลเรือนที่ถูกสังหารอย่างป่าเถื่อนและทิ้งศพเกลื่อนถนนในเมืองบูชา และตะวันตกรีบออกมาประณามรัสเซียทันทีนั้น เซเลนสกีบอกว่า กองกำลังเครมลินกำลังพยายามปกปิดหลักฐานความป่าเถื่อนของตัวเองด้วยการย้ายศพออกจากถนนและอาคารต่างๆ
ทว่า รัสเซียยืนกรานว่า ไม่ได้พุ่งเป้าทำร้ายพลเรือน และเมื่อวันพุธปูตินกล่าวหารัฐบาลยูเครน “ยั่วยุอย่างหยาบคายและน่ารังเกียจ” ในเมืองบูชาเพื่อจัดฉากสนับสนุนการเพิ่มมาตรการแซงก์ชันมอสโกและขัดขวางการเจรจาสันติภาพ
(ที่มา : อาร์ที (รัสเซียทูเดย์), เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)