ยูเครนปฏิเสธไม่ยอมวางอาวุธในมาริอูโปล เครมลินยอมรับเจรจาสันติภาพไม่คืบ

เจ้าหน้าที่ยูเครนปฏิเสธในวันจันทร์ (21 มี.ค.) คำขาดจากรัสเซียให้ยอมวางอาวุธในมาริอูโปล เพื่อแลกกับการอพยพพลเรือนออกจากเมืองท่าทางภาคใต้ของประเทศแห่งนี้ที่ถูกปิดล้อมมานานหลายสัปดาห์ ขณะที่การโจมตีระลอกใหม่เมื่อคืนวันอาทิตย์ (20) ทำให้ศูนย์การค้าย่านใกล้ใจกลางเมืองของกรุงเคียฟเสียหายหนัก มีผู้เสียชีวิต 8 คน นอกจากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังยอมรับว่า การเจรจาสันติภาพยังไม่มีความคืบหน้าสำคัญใดๆ ด้านทำเนียบขาวระบุไบเดน ซึ่งเตรียมไปร่วมประชุมซัมมิตของนาโต้และของอียูสัปดาห์นี้ จะไปเยือนโปแลนด์ด้วยเพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤตมนุษยธรรมจากสงครามยูเครน

พล.ท.มิคาอิล มิซินต์เซฟ ของรัสเซีย ยื่นคำขาดให้ทหารยูเครน รวมถึงนักรบรับจ้างต่างชาติในเมืองมาริอูโปลยอมวางอาวุธภายในเวลา 5.00 น. วันจันทร์ (21) แลกเปลี่ยนกับการเปิดเส้นทางให้อพยพออกจากมาริอูโปล 2 เส้นทางด้วยกัน ทางหนึ่งไปทางตะวันออกมุ่งสู่รัสเซีย อีกทางหนึ่งไปทางตะวันตกสู่ส่วนอื่นๆ ของยูเครน ไม่เช่นนั้นอาจถูกนำตัวขึ้นศาลทหารหรืออาจเผชิญผลลัพธ์เลวร้ายกว่านั้น

ปรากฏว่าพวกเจ้าหน้าที่ยูเครนปฏิเสธไม่ยอมทำตามคำขาดนี้ ตั้งแต่ก่อนหน้ากำหนดเส้นตายของฝ่ายรัสเซียด้วยซ้ำ

ขณะที่รองนายกรัฐมนตรีไอรีนา เวเรชชุก ของยูเครน ก็ปฏิเสธไม่ยอมรับเส้นตายของรัสเซีย และโต้กลับว่า มอสโกควรปล่อยให้พลเรือนนับแสนคนที่ติดอยู่ในเมืองมาริอูโปลอพยพออกมา

การปฏิเสธของเคียฟมีขึ้นขณะที่รัสเซียทิ้งระเบิดถล่มเป้าหมายต่างๆ ทั่วยูเครนเมื่อคืนวันอาทิตย์ รวมทั้งศูนย์กลางค้าแห่งหนึ่งในเขตโปดิลที่มีประชากรหนาแน่น อยู่ใกล้ๆ กับศูนย์กลางของเมืองหลวงเคียฟ ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 คน รวมทั้งฝ่ายยูเครนยังกล่าวหาทหารรัสเซียว่า ทำให้โรงงานเคมีแห่งหนึ่งในเมืองทางเหนือเสียหายและปล่อยแอมโมเนียรั่วไหลออกมา

ดมิโทร ซีวิตสกี้ ผู้ว่าการเขตซูมี เผยว่า กระสุนปืนใหญ่ของรัสเซียตกลงในโรงงานปุ๋ยแห่งหนึ่ง และเตือนให้ผู้ที่อยู่ในรัศมี 2.5 กิโลเมตรจากโรงงานดังกล่าวหาที่หลบจากแอมโมเนียที่รั่วไหล อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง บริการกู้ภัยยูเครนทวิตว่า อุบัติเหตุดังกล่าวยุติลงแล้ว

ที่วอชิงตัน ทำเนียบขาวแถลงว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่มีกำหนดเดินทางไปบรัสเซลส์เพื่อประชุมสุดยอดกับผู้นำสหภาพยุโรป (อียู) นาโต และจี7 วันพฤหัสฯ นี้ (24) เกี่ยวกับสงครามยูเครน จะเยือนโปแลนด์ในวันศุกร์ (25) และคาดว่าจะหารือกับประธานาธิบดีอันด์เช ดูดา เกี่ยวกับวิกฤตมนุษยธรรมจากการที่มีชาวยูเครนถึงราว 2 ล้านคนหนีสงครามเข้าสู่โปแลนด์

ทั้งนี้ วิกฤตมนุษยธรรมที่รุนแรงที่สุดของยูเครนเวลานี้ คือที่เมืองมาริอูโปลที่ถูกรัสเซียถล่มมาเกือบเดือน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายยูเครนอ้างว่ามีอยู่ราว 350,000 ติดอยู่ในวงล้อมโดยไม่มีอาหาร น้ำ และยา

เมืองนี้ถือเป็นเป้าหมายหลักของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน เนื่องจากจะทำให้กองทหารรัสเซียในไครเมียมีเส้นทางเชื่อมต่อกับดินแดนทางตะวันตกเฉียงใต้ รวมทั้งพื้นที่ทางด้านเหนือและตะวันออกของยูเครนที่มอสโกควบคุมอยู่

นักการทูตกรีซคนหนึ่งที่ติดอยู่ในเมืองมาริอูโปลช่วงหนึ่งระบุว่า เมืองนี้จะติดในรายชื่อหนึ่งในเมืองทั่วโลกที่ถูกสงครามทำลายยับเยินเช่นเดียวกับกรอซนี อเล็ปโป 

ขณะเดียวกัน ระหว่างการปราศรัยทางวิดีโอล่าสุด ประธานาธิบดีโวโลดิมีร์ เซเลนสกี กล่าวหารัสเซียถล่มโรงเรียนแห่งหนึ่งในมาริอูโปลที่มีพลเรือนหลายร้อยคนหลบภัยอยู่ และย้ำว่า กองทัพรัสเซียกำลังพยายามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนยูเครน

นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่เมืองนี้ยังเผยว่า กองทัพรัสเซียบังคับพาชาวเมืองราวพันคนไปยังรัสเซีย รวมทั้งยึดหนังสือเดินทาง ซึ่งอาจเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม

อย่างไรก็ดี เซเลนสกียังเชื่อว่า จะได้หารือโดยตรงกับปูติน โดยเมื่อวันอาทิตย์หลังจากแถลงขอความช่วยเหลือจากรัฐสภาอิสราเอลและตั้งคำถามเกี่ยวกับการที่อิสราเอลลังเลที่จะขายระบบป้องกันภัยขีปนาวุธ “ไอออน โดม” ที่ถือว่าดีที่สุดให้ยูเครนแล้ว เซเลนสกี ยังขอบคุณนายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเน็ตต์ของอิสราเอลในการพยายามเป็นตัวกลางแก้ไขความขัดแย้ง และกล่าวเป็นนัยว่า ในอนาคตอาจจัดการหารือกับปูตินที่เยรูซาเลม

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตุรกีเผยว่า ตัวแทนรัสเซียและยูเครนที่กำลังเจรจาอยู่ในตุรกีใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีบอกปัดเรื่องนี้โดยให้สัมภาษณ์ซีเอ็นเอ็นว่า รัสเซียไม่สามารถเรียกร้องฝ่ายเดียวให้ยูเครนยอมรับดินแดนที่แยกตัวไปเป็นรัฐอิสระ แต่เคียฟต้องการแนวทางที่รับประกันว่า ประเทศจะไม่สูญเสียอธิปไตย

ล่าสุด ดมิทรี เพสคอฟ โฆษกเครมลินให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ว่า การเจรจาสันติภาพเพื่อปูทางสู่การพบกันระหว่างปูตินกับเซเลนสกีไม่มีความคืบหน้าสำคัญใดๆ และกล่าวหาเคียฟเตะถ่วงด้วยการยื่นข้อเสนอที่มอสโกไม่อาจยอมรับได้

ฝ่ายตะวันตกออกข่าวว่า เวลานี้รัสเซียที่เผชิญการต่อต้านทางภาคพื้นดินในยูเครนอย่างเหนียวแน่นเกินคาดหมาย ทำให้รุกคืบหน้าไปได้ช้ามากหรือกระทั่งชะงักงัน เวลาเดียวกันอาวุธและเสบียงเริ่มขาดแคลน ดังนั้น ทางเลือกหนึ่งคือการใช้อาวุธระยะไกลถล่มโจมตีเขตตัวเมืองใหญ่

(ที่มา : เอเอฟพี, เอพี, รอยเตอร์)