หลังระเบิดซีรีส์แล้วซีรีส์เล่าไล่ถล่มบ้านเกิดเมืองนอนของน้องแอนนามาเรีย มาสโลฟสก้าในเมืองคาร์คีฟ เมืองใหญ่ที่สุดอันดับสองของประเทศยูเครน อันเป็นหนึ่งในหลายเมืองยุทธศาสตร์ที่ถูกอภิมหาอำนาจอย่างรัสเซียตั้งอกตั้งใจรุกราน สองสัปดาห์ผ่านไปแล้วแต่ยังไม่ยุติยิงปืนใหญ่เข้ารุกราน คุณแม่ของแอนนามาเรีย พาเธอหนีภยันตรายไปหาแหล่งพักพิงในฮังการี ประเทศเพื่อนบ้านทางซีกตะวันตก น้องต้องทิ้งเพื่อนๆ และของเล่นทั้งปวงไว้ที่ยูเครน โดยหอบเอาความรู้สึกอ้างว้างและหวาดหวั่นติดตัวไปอย่างแนบแน่น
การรอนแรมด้วยรถไฟสองวันหนึ่งคืนจบลงได้ในที่สุด น้องแอนนามาเรีย สาวน้อยวัย 10 ขวบ บอกกับนักข่าวเอพีเป็นภาษาอังกฤษว่าเธอเป็นห่วงเพื่อนๆ ในเมืองคาร์คีฟ เพราะข้อความที่เธอเขียนไปหาผ่านแอปไวเบอร์นั้น ไม่มีคำตอบใดๆ ปรากฏขึ้นเลย
“คิดถึงเพื่อนค่ะ ติดต่อใครก็ไม่ได้เลย เพื่อนๆ อ่านข้อความของหนู แต่ไม่มีใครเขียนอะไรตอบมา หนูเป็นห่วงเพื่อน เพราะไม่ทราบว่าใครไปอยู่ที่ไหนบ้างค่ะ” น้องแอนนามาเรีย บอกอย่างนั้นขณะให้สัมภาษณ์ที่สถานีรถไฟเมืองซาโฮนี ณ ชายแดนประเทศฮังการี
น้องแอนนามาเรีย เดินทางมากันสองคนกับคุณแม่ เธอเป็นหนึ่งในเด็กๆ มากกว่า 1 ล้านรายที่อพยพลี้ภัยพ้นออกจากยูเครนภายในห้วงเวลาเพียง 2 สัปดาห์นับจากที่รัสเซียเริ่มใช้อาวุธสงครามถล่มโจมตียูเครน
ทั้งนี้ ในจำนวนผู้อพยพลี้ภัยสงครามออกจากยูเครนที่มหาศาลเกินกว่า 2 ล้านรายนั้น เป็นเด็กๆ มากกว่าครึ่ง มันเป็นสถานการณ์น่าสะเทือนใจที่ถูกระบุว่าเป็นวิกฤตผู้ลี้ภัยที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดของยุโรปนับจากเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีกรณีที่เด็กๆ ต้องเดินทางลี้ภัยไปตามลำพังเป็นจำนวนมาก
คือบาดแผลแห่งความกลัวที่ติดตราในดวงใจ
ขณะที่เด็กๆ วัยทารกอาจจะไม่ตื่นกลัวหวาดหวั่นว่าชีวิตได้มาถึงจุดจบ แต่เด็กน้อยที่โตขึ้นมาหน่อยจะจดจำความทุกข์ตรม ความเสี่ยงตาย และความลำบากยากเข็ญทั้งปวงอย่างชนิดที่ตราตรึงลงในจิตใต้สำนึก จนกระทั่งเป็นบาดแผลทางจิตใจที่ไม่สามารถเยียวยาได้ง่ายๆ ผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์ไว้อย่างนั้น
“เด็กเล็กมากๆ คงไม่เข้าใจวิกฤตการณ์ชีวิตครั้งนี้ แต่เด็ก 3-4 ขวบจะจดจำโศกนาฏกรรมนี้ไปทั้งชีวิตค่ะ ดิฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะทำใจได้” กล่าวโดยคุณแม่วิกตอเรีย ฟิลอนชุก วัย 37 ปี ผู้ที่หอบหิ้วลูกสาววัยทารกหนีสงครามออกมาจากยูเครน
ด้านเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานกลุ่มไฟต์ฟอร์ฟรีดอม นามว่า แดเนียล กราดินารุ ซึ่งเป็นเอ็นจีโอกลุ่มคริสเตียนที่ดำเนินงานบริเวณชายแดนโรมาเนียกับยูเครน บอกว่าอยากให้เด็กๆ ที่ลี้ภัยจากยูเครนได้รับคำปรึกษาเยียวยาความรู้สึก
ในบรรดาผู้ลี้ภัยจากยูเครนสองล้านกว่ารายซึ่งบางส่วนมุ่งไปขอที่พักพิงในโรมาเนีย มอลโดวา สโลวะเกีย ฮังการี ส่วนใหญ่จะอพยพเข้าโปแลนด์ ซึ่งเปิดประตูต้อนรับไปแล้ว 1.33 ล้านราย ตามข้อมูลของหน่วยงานปกป้องชายแดนโปลิช
ในการนี้ คนจากยูเครนไม่ใช่น้อยๆ ต้องลี้ภัยสงครามผ่านช่องทางต่างๆ ที่อำนวยการโดยหน่วยงานด้านมนุษยธรรมของสหประชาชาติ โดยมาดามนาตาเลีย มูเดรนโก เบอร์หนึ่งแห่งคณะผู้ดำเนินงานของสหประชาชาติในยูเครน กล่าวโทษรัสเซียว่ามีการเหนี่ยวรั้งไม่ให้ผู้หญิงและเด็กสามารถหนีภัยสงครามออกไปได้เพื่อดึงไว้เป็น “ตัวประกัน” ในหลายเมืองใหญ่ที่รัสเซียกระหน่ำโจมตี อีกทั้งยังมีการทำร้ายบรรดาผู้ที่พยายามจะหนี
“ถ้าใครพยายามเดินทางออกมา พวกรัสเซียจะยิงและฆ่าทิ้งค่ะ” มาดามมูเดรนโก กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือสะเทือนใจ ในระหว่างการประชุมคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อช่วงบ่ายวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ 2022 และรายงานด้วยว่ามีการขาดแคลนอาหารและน้ำ ขณะที่อาวุธสงครามที่รัสเซียใช้โจมตีก็คร่าชีวิตผู้คน
นอกจากนั้น มูเดรนโกให้ข้อมูลว่าเด็กหญิงวัยเพียง 6 ขวบตกเป็นเหยื่อของการรุกรานและเสียชีวิตอนาถอย่างเดียวดายภายในเมืองมาริอูโปล ซึ่งถูกรัสเซียปิดล้อม โดยคุณแม่ของน้องถูกสังหารไปก่อนแล้วจากบรรดากระสุนปืนใหญ่ที่ทหารรัสเซียระดมบอมบ์เข้าไป
เด็กหญิงวาเลอรีอา วาเรนโก วัย 9 ขวบ เดินทางกับคุณแม่และน้องชาย รอนแรมข้ามวันข้ามคืนไปลี้ภัยสงครามในฮังการี อพาร์ตเมนต์ของครอบครัววาเรนโกอยู่ในพื้นที่ของกรุงเคียฟซึ่งถูกระดมยิงหนักหน่วง และต้องหลบลงชั้นใต้ดิน
คุณแม่คุณลูกสามชีวิตดั้นด้นไปจนถึงศูนย์แรกรับผู้ลี้ภัยชั่วคราวของฮังการีในเมืองบาราบัสเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (9) ขณะที่คุณพ่อปักหลักอยู่ในยูเครนเพื่อช่วยปกป้องกรุงเคียฟจากการรุกรานของรัสเซีย
น้องวาเลอรีอา ฝากเอพีไปถึงเด็กๆ ในยูเครนว่าให้ระวังมากๆ และอย่าแตะต้องสิ่งของใดๆ ตามท้องถนน เพราะ “มันอาจจะระเบิด และทำให้บาดเจ็บร้ายแรง” พร้อมกันนี้ น้องบอกว่าภูมิใจในคุณพ่อ และคิดถึงคุณพ่อเป็นที่สุด
เมืองคาร์คีฟอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของน้องแอนนามาเรีย เป็นเมืองใหญ่ที่สุดอันดับสองของยูเครน โดยมีผู้คนอาศัยอยู่ราว 1.5 ล้านราย ที่ผ่านมา คาร์คีฟถูกกองกำลังรัสเซียบอมบ์ด้วยปืนใหญ่อย่างสนั่นวันแล้ววันเล่า แล้วตามด้วยจรวดที่พุ่งเข้าขยี้อาคารที่ทำการของรัฐบาลกรุงคาร์คีฟ ณ จัตุรัสเสรีภาพ หรือฟรีดอม สแควร์ ใจกลางกรุงคาร์คีฟเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยมีผู้คนถูกสังหาร 6 ราย
ความหวังเล็กๆ ของเด็กน้อยผู้ลี้ภัยสงคราม
แม้แอนนามาเรีย ยังมีอายุเพียง 10 ขวบ แต่เธอมีเป้าหมายของชีวิตที่แจ่มชัดแล้ว เธออยากเป็นดาวจรัสแสงในฮอลลีวูด สหรัฐอเมริกา โดยเธอเตรียมความพร้อมแล้วด้วยการฝึกภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว
ในระหว่างนี้ แอนนามาเรีย และคุณแม่ต้องประคองตนให้อยู่รอดปลอดภัยไปจนกว่าสถานการณ์ในยูเครนจะกลับเป็นปกติ โดยทั้งสองจะเดินทางต่อไปยังกรุงบูดาเปสต์ เมืองหลวงของฮังการี ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นค่อยคิดว่าจะไปอยู่ที่ไหน หรือจะทำอะไรดี แต่ถ้าเป็นไปได้ แอนนามาเรีย อยากได้ไปเที่ยวดิสนีย์แลนด์ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสสักครั้ง
เหนืออื่นใด แอนนามาเรียตั้งตารอให้สงครามยุติ จะได้กลับไปเมืองคาร์คีฟ ไปตามหาเพื่อนๆ ซึ่งกระจัดกระจายไปหาที่หลบภัยในเมืองต่างๆ ของยูเครน
“คาร์คีฟเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของหัวใจหนูค่ะ” น้องกล่าว
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : เอพี)