กองกำลังรัสเซียส่อยืด 2 เมืองท่าริมทะเลของยูเครน ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ได้สำเร็จในวันพุธ (2 มี.ค.) และเดินหน้าทิ้งระเบิดโจมตีเมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของประเทศอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันขบวนยานยนต์หุ้มเกราะขนาดมหึมาที่กำลังคุกคามกรุงเคียฟ ยังคงจอดนิ่งอยู่บริเวณด้านนอกเมืองหลวง
ความเคลื่อนไหวล่าสุดนี้มีขึ้นในขณะที่มอสโกกำลังถูกโดดเดี่ยวมากขึ้น ด้วยเกือบทั้งโลก ณ ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ลงมติท่วมท้นประณามรัสเซียต่อกรณีรุกรานยูเครน เรียกร้องมอสโกหยุดสู้รบและถอนกำลังทหาร ขณะที่ศาลอาญาระหว่างประเทศได้เปิดสืบสวนความเป็นไปได้ของการก่ออาชญากรรมสงครามเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเจรจารอบ 2 ที่มีเป้าหมายยุติการสู้รบ คาดหมายว่าจะมีขึ้นในวันพฤหัสบดี (3 มี.ค.) แต่ดูเหมือนยังมีความเห็นพ้องต้องกันเพียงเล็กน้อยระหว่างสองฝ่าย
รัสเซียรายงานความสูญเสียด้านการทหารของตนเองเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การรุกรานเริ่มต้นขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยบอกว่ามีกำลังพลถูกสังหารเกือบ 500 นาย และเกือบ 1,600 นายได้รับบาดเจ็บ ส่วนยูเครนไม่ได้เปิดเผยความสูญเสียด้านการทหาร เพียงแต่บอกว่ามีพลเมืองเสียชีวิตมากกว่า 2,000 คน คำกล่าวอ้างที่ไม่สามารถตรวจสอบได้
ในขณะที่การสู้รบกำลังเกิดขึ้นในหลายแนวทั่วประเทศ รัฐมนตรีกลาโหมของสหราชอาณาจักรยอมรับว่า "มารียูปอล" เมืองขนาดใหญ่ในแถบทะเลอาซอฟ ถูกล้อมกรอบโดยทหารรัสเซีย ขณะที่สถานะของเคอร์ซอน เมืองท่าสำคัญ และเป็นเมืองต่อเรือริมทะเลดำที่มีประชากร 280,000 คน ยังไม่ชัดเจน
กองกำลังของประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน อ้างว่าพวกเขาสามารถควบคุมเมืองเคอร์ซอนได้เบ็ดเสร็จแล้ว ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นเมืองใหญ่ที่สุดที่ตกอยู่ในกำมือของรัสเซียนับตั้งแต่เปิดฉากรุกราน แต่เจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของสหรัฐฯ โต้แย้งคำกล่าวอ้างนี้ "ตามมุมมองของเรา เคอร์ซอน ยังเป็นเมืองที่ช่วงชิงกันดุเดือดมาก" เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนามกล่าว
ด้าน วาดีม บอยเชนโก นายกเทศมนตรีเมืองมารียูปอล บอกว่า เมืองของเขาถูกโจมตีอย่างไม่หยุดหย่อน "ทุกวันนี้เราไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งเอาตัวผู้ได้รับบาดเจ็บออกจากถนน จากบ้านเรือนและอพาร์ตเมนต์ เนื่องจากระเบิดยังพุ่งมาไม่หยุด"
อีกด้านหนึ่งเจ้าหน้าที่กลาโหมระดับสูงของสหรัฐฯ อีกคน บอกว่าขบวนรถถังและยานพาหนะอื่นๆ จำนวนมหึมาของรัสเซีย ดูเหมือนจะหยุดยิ่งอยู่ห่างจากกรุงเคียฟราวๆ 25 กิโลเมตร และไม่พบเห็นความคืบหน้าอย่างจริงจังในช่วง 2 วันหลังสุด
ขบวนดังกล่าวซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ มีทีท่าว่าจะจู่โจมเมืองหลวง ต้องสะดุดจากปัญหาขาดแคลนเชื้อเพลิงและอาหาร และเผชิญการต้านทานอย่างหนักหน่วงจากยูเครน เจ้าหน้าที่รายนี้กล่าว
บริเวณริมขอบเมืองหลวง บรรดาอาสาสมัครสู้รบในวัยสูงสุด 60 ปีเศษๆ ประจำการตามจุดตรวจหนึ่ง ในความพยายามสกัดการรุกคืบของรัสเวีย "ในอายุวัยชราของผม ผมจำเป็นต้องจับอาวุธลุกขึ้นสู้" แอนเดรย์ กอนชารุค วัย 68 ปีกล่าว พร้อมบอกว่าเหล่านักรบต้องการอาวุธเพิ่ม แต่ "เราจะฆ่าศัตรูและยึดอาวุธพวกเขา"
รัสเซียยังคงระดมโจมตีคาร์คิฟ เมืองใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของยูเครน ซึ่งมีประชากรราวๆ 1.5 ล้านคน ด้วยปฏิบัติการถล่มทางอากาศอีกรอบ ซึ่งทำเอาอาคารต่างๆ สั่นไหวและเปลวไฟลุกพรึบตามแนวขอบฟ้า ในขณะที่ โอเลก ซิเนกูบอฟ ผู้บริหารของเมืองคาร์คิฟ บอกว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 ราย และบาดเจ็บ 112 คนในวันที่ผ่านมา
โอเลกซีย์ อาเรสโตวิช ที่ปรึกษาระดับสูงของประธานาธิบดีโวโลดีมีร์ เซเลนสกี อ้างว่ามีเครื่องบินของรัสเซียหลายลำถูกยิงตกในคาร์คิฟ "คาร์คิฟในปัจจุบันนี้ คือ สตาลินกราด ของยุคศตวรรษที่ 21" เขากล่าว อ้างถึงหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของรัสเซีย ซึ่งใช้เวลาต่อสู้นาน 5 เดือน ในการปกป้องเมืองแห่งนี้จากเงื้อมมือของนาซี ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2
การโจมตีของรัสเซีย ซึ่งรวมถึงขีปนาวุธหลายลูก ทำเอาหลังคาอาคารตำรวจภูภาค 5 ชั้นของคาร์คิฟ พังเสียหายยับเยินและเกิดไฟไหม้ชั้นบนสุด นอกจากนี้ การโจมตียังโดนกองบัญชาการข่าวกรอง และอาคารของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง จากคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ รวมถึงภาพวิดีโอและภาพถ่ายที่เผยแพร่โดยหน่วยฉุกเฉินของรัฐของยูเครน ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่เผยว่ามีอาคารที่พักอาศัยถูกโจมตีเช่นกัน แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
หลังการรุกรานของยูเครนเข้าสู่วันที่ 7 สหประชาชาติเผยว่า มีประชาชนมากกว่า 870,000 คนที่หลบหนีไปยังยูเครน ในวิกฤตผู้ลี้ภัยที่หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ในทวีปยุโรป ในขณะที่หัวหน้าหน่วยงานเฝ้าระวังทางนิวเคลียร์ของสหประชาชาติเตือนว่าการสู้รบเสี่ยงก่ออันตรายแก่เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ 5 แห่งของยูเครน
(ที่มา : เอพี)