ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนได้ผลักให้โควิด-19 เคลื่อนเข้าสู่ขั้นใหม่ และอาจนำมาซึ่งจุดจบของโรคระบาดใหญ่ในยุโรป จากความเห็นของผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกประจำภาคพื้นยุโรปในวันอาทิตย์ (23 ม.ค.)
"ความเป็นไปได้คือภูมิภาคแห่งนี้กำลังเคลื่อนเข้าสู่การจบเกมโรคระบาดใหญ่รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง" ดร.ฮานส์ คลูก ผู้อำนวยการภาคพื้นยุโรปขององค์การอนามัยโลก (WHO) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอเอฟพี พร้อมระบุว่าโอมิครอนอาจแพร่เชื้อติดผู้คนในยุโรปมากถึง 60% ภายในเดือนมีนาคม
เมื่อครั้งระลอกการแพร่ระบาดของโอมิครอนที่กำลังเล่นงานทั่วยุโรปในปัจจุบันเบาบางลง "โลกจะมีภูมิคุ้มกันหมู่หลายสัปดาห์และหลายเดือน ซึ่งเป็นผลจากการฉีดวัคซีนหรือเพราะคนมีภูมิคุ้มกันแล้วจากการติดเชื้อ และการแพร่ระบาดจะลดลงตามฤดูกาลเช่นกัน"
"เราคาดหมายว่าจะมีช่วงเวลาที่เงียบเชียบช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่โควิด-19 อาจกลับมาอีกในช่วงปลายปี แต่มันไม่จำเป็นที่มันจะกลับมาในรูปแบบของโรคระบาดใหญ่" คลูก กล่าว
นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี นักวิทยาศาสตร์ระดับอาวุโสของสหรัฐฯ แสดงมุมมองแง่บวกแบบเดียวกันในวันอาทิตย์ (23 ม.ค.) ให้สัมภาษณ์กับรายการ "ดีส วีค" ของสำนักข่าวเอบีซี นิวส์ ว่า เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 กำลังลดลง "ฮวบฮาบ" ในหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ "หลายสิ่งหลายอย่างกำลังดูดี"
ในส่วนขององค์การอนามัยโลกประจำทวีปแอฟริกา ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเช่นกันว่า เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในภูมิภาคลดลงอย่างมาก และจำนวนผู้เสียชีวิตกำลังลดลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การแพร่ระบาดระลอก 4 ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ ซึ่งมีตัวกลายพันธุ์โอมิครอนเป็นสายพันธุ์หลักแตะจุดพีกสุด
ตัวกลายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งผลการศึกษาต่างๆ พบว่าแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าเดลตา แต่ก่ออาการเจ็บป่วยรุนแรงน้อยกว่าในบรรดาคนที่ฉีดวัคซีนแล้ว ได้ก่อความหวังที่เฝ้ารอมานานว่าโควิด-19 อาจกำลังเริ่มเปลี่ยนจากโรคระบาดใหญ่เป็นโรคเฉพาะถิ่นที่บริหารจัดการได้ง่ายกว่า เหมือนกับไข้หวัดตามฤดูกาล
อย่างไรก็ตาม คลูก เตือนว่ายังเร็วเกินไปที่จะพิจารณาว่าโควิด-19 เป็นโรคเฉพาะถิ่น "มีคนพูดกันมากมายเกี่ยวกับโรคเฉพาะถิ่น แต่โรคเฉพาะถิ่นหมายความถึง มันมีความเป็นไปได้ที่จะคาดเดาว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น แต่ไวรัสนี้สร้างความประหลาดใจให้เรามาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง ดังนั้นเราจำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก"
ด้วยโอมิครอนกำลังแพร่ระบาดในวงกว้าง ตัวกลายพันธุ์อื่นๆ อาจจะยังปรากฏตัวขึ้นมาอีก คลูก กล่าวเตือน ซึ่งในเรื่องนี้สอดคล้องกับคำพูดของ เธียร์รี เบรตอง คณะกรรมาธิการยุโรปด้านตลาดภายใน ที่ระบุในวันอาทิตย์ (23 ม.ค.) มีความเป็นไปได้ที่จะมีการดัดแปลงวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อรับมือกับตัวกลายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจปรากฏขึ้นมา
ในภูมิภาคยุโรปขององค์การอนามัยโลก ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 53 ประเทศ ในนั้นรวมถึงหลายชาติในเอเชียกลาง ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนมีสัดส่วนคิดเป็น 15% ของเคสผู้ติดเชื้อใหม่จนถึงวันที่ 18 มกราคม เพิ่มขึ้นจากระดับ 6.3% ของหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านี้
เวลานี้โอมิครอนกลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหภาพยุโรปและเขตเศรษฐกิจยุโรป หรืออีอีเอ (รวมถึงนอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเทนสไตน์) ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหภาพยุโรประบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของตัวกลายพันธุ์โอมิครอนทั่วยุโรป คลูกเน้นถึงความสำคัญ "ของการลดความยุ่งเหยิงตามโรงพยาบาลต่างๆ โรงเรียน และระบบเศรษฐกิจให้เหลือน้อยที่สุด และใช้ความพยายามใหญ่หลวงในการปกป้องกลุ่มคนอ่อนแอ" แทนการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อหยุดการแพร่ระบาด
นอกจากนี้ คลูก ยังเรียกร้องประชาชนให้มีความรับผิดชอบส่วนบุคคล "ถ้าคุณรู้สึกไม่สบาย จงอยู่บ้าน ทำการตรวจเชื้อด้วยตนเอง ถ้าคุณมีผลตรวจเป็นบวก ก็กักโรคซะ" เขากล่าว
คลูก กล่าวว่าเป้าหมายลำดับต้นๆ คือทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในยุโรปมีความเสถียร ด้วยประเทศต่างๆ ทั่วทวีปมีระดับฉีดวัคซีนที่ต่างกัน ไล่ตั้งแต่ 25% จนถึง 95% ของประชากร จนทำให้มีระดับความตึงเครียดตามโรงพยาบาลและระบบสาธารณสุขแตกต่างกันออกไป
"ความเสถียรคือระบบสาธารณสุขไม่ล้นไปด้วยคนไข้โควิด-19 อีกต่อไป และสามารถเดินหน้าให้บริการด้านสุขภาพที่จำเป็น ซึ่งที่ผ่านมา เคราะห์ร้ายที่มันก่อความวุ่นวายอย่างแท้จริงแก่งานด้านโรคมะเร็ง และการฉีดวัคซีนประจำปี"
เมื่อถามว่าวัคซีนเข็ม 4 มีความจำเป็นหรือไม่สำหรับนำมาซึ่งจุดจบของโรคระบาดใหญ่ คลูก แสดงความคิดเห็นอย่างระมัดระวัง บอกแต่เพียงว่า "เรารู้ว่าภูมิคุ้มกันจะพุ่งขึ้นหลังฉีดวัคซีนแต่ละเข็ม"
จากข้อมูลของเอเอฟพีพบว่าโรคระบาดใหญ่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกแล้วเกือบ 5.6 ล้านราย ในนั้น 1.7 ล้านรายเกิดขึ้นในยุโรป
(ที่มา : เอเอฟพี)