เครื่องบินโดยสารลำหนึ่งซึ่งกำลังเดินทางจากไมอามี สหรัฐฯ มุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ต้องวกกลับไปลงจอดในฟลอริดา หลังผูุ้หญิงรายหนึ่งบนเที่ยวบิน ไม่ยอมสวมหน้ากากตามมาตรการสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
เครื่องบินของสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส เที่ยวบิน 38 ซึ่งเทกออฟขึ้นจากไมอามี ตอนประมาณ 20.00น.ของวันพุธ (19 ม.ค.) ตามเวลาท้องถิ่น ต้องยกเลิกแผนเดินทางระหว่างประเทศ ในขณะกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากออกเดินทางไปราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง
โฆษกของสายการบินยืนยันเหตุการณ์นี้ โดยระบุในถ้อยแถลงที่ส่งถึงหนังสือพิมพ์นิวยอร์กโพสต์ ว่า "ลูกค้าที่ก่อความวุ่นวายรายหนึ่งปฏิเสธปฏิบัติตามคำสั่งบังคับสวมหน้ากากของรัฐบาลกลาง" และมันคือเหตุผลที่ทำให้เครื่องบินโบอิ้ง 777 ต้องกลับมาลงจอดที่ท่าอากาศยานไมอามี
"เที่ยวบินลงจอดอย่างปลอดภัยที่สนามบินไมอามี และเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรุดขึ้นไปบนเที่ยวบิน" โฆษกระบุ "เราขอบคุณลูกเรือของเราสำหรับความเป็นมืออาชีพ และขอโทษลูกค้าทุกท่านสำหรับความไม่สะดวกในครั้งนี้"
รายงานข่าวของสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส ไมอามี ระบุว่า ผู้โดยสารคนที่ไม่ยอมสวมหน้ากาก ซึ่งมีอายุในวัย 40 ปีเศษๆ ถูกพาตัวลงจากเครื่องบิน แต่ไม่ถูกตำรวจตั้งข้อหาใดๆ
อย่างไรก็ตาม เธอได้ถูกขึ้นบัญชีดำบุคคลห้ามบินของทางสายการบินอเมริกัน แอร์ไลน์ส ระหว่างที่มีการสืบสวนเพิ่มเติม
ผู้โดยสาร 129 คน และลูกเรือ 14 คนบนเครื่องบิน ต้องกลับมาติดแหง็กชั่วคราวในสหรัฐฯ ทำเอาผู้โดยสารบางส่วนสับสนและโวยวายว่าทำไมพวกเขาต้องกลับมาที่สนามบินไมอามีอีกครั้ง
นับตั้งแต่เข้าสู่ปี 2022 สายการบินต่างๆ รายงานพบเจอเหตุการณ์ผู้โดยสารมีพฤติกรรมเกเรแล้ว 151 เหตุการณ์ ในนั้น 92 เหตุการณ์เกี่ยวข้องกับการสวมหน้ากาก จากข้อมูลขององค์การบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (เอฟเอเอ) ในนั้นมี 32 เหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ต้องเปิดการสืบสวน และมีอยู่ 4 คดีที่เริ่มดำเนินการทางกฎหมายแล้ว
จากข้อมูลของเอฟเอเอ พบว่าเมื่อปีที่แล้วมีเหตุการณ์ผู้โดยสารแสดงพฤติกรรมเกเรทั้งสิ้น 5,981 เหตุการณ์ และในนั้น 4,290 เหตุการณ์ เกี่ยวข้องกับการสวมหน้ากาก
(ที่มา : นิวยอร์กโพสต์)