ครูสาวรายหนึ่งจากชิคาโก สหรัฐฯ ตัดสินใจกักโรคตนเองในห้องน้ำของเครื่องบินนานกว่า 4 ชั่วโมง สืบเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้โดยสารคนอื่นๆ หลังผลตรวจไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แบบเร่งด่วนที่เธอตรวจบนเที่ยวบินที่กำลังมุ่งหน้าสู่ไอซ์แลนด์ แสดงผลออกมาเป็นบวก
มาริสา โฟเตียโอ กำลังมุ่งหน้าไปพักผ่อนในยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่จู่ๆ เธอก็รู้สึกเจ็บคอตอนที่เครื่องบินที่เธอโดยสารกำลังบินอยู่เหนือมหาสมุทรแอตแลนติก
คุณครูรายนี้จริงจังอย่างมากกับการเดินทางในช่วงระหว่างการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ ดังนั้น เธอจึงนำชุดตรวจแบบเร่งด่วนหลายชุดติดตัวขึ้นไปบนเที่ยวบินของสายการบินไอซ์แลนด์แอร์ เธอเข้าไปในห้องน้ำ และใช้ชุดตรวจชุดหนึ่งตรวจหาเชื้อด้วยตนเอง ซึ่งผลปรากฏออกมาว่าเธอมีเชื้อโควิด-19
โฟเตียโอ แจ้งพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินในทันที แต่แอร์โฮสเตสแจ้งว่าไม่มีที่นั่งว่างเพียงพอบนเที่ยวบินสำหรับการกักแยกโรคเธออย่างเหมาะสม
@marisaefotieo Shout out to @Icelandair for my VIP quarantine quarters.. #luxuryliving #imsolucky #covid #vaccinated #fyp #viralvideotiktok #quarantine ♬ I'm So Lucky Lucky - Grandzz
เมื่อเป็นดังนั้น ด้วยความที่ครูสาวกังวลว่าเธออาจแพร่เชื้อสู่คนอื่นๆ เธอจึงสอบถามความเป็นไปได้เกี่ยวกับการเข้าไปอยู่แต่ในห้องน้ำตลอดระยะเวลาที่เหลือบนเที่ยวบิน ซึ่งสุดท้ายแล้วพวกพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินก็เห็นดีเห็นงามด้วย
"ฉันก็ไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองต้องเข้าไปอยู่ในห้องน้ำนานกว่า 4 ชั่วโมง แต่คุณจำเป็นต้องทำในสิ่งที่ควรทำ" คุณครูรายนี้กล่าว
โฟเตียโอ โพสต์วิดีโอหนึ่งบน TikTok เป็นภาพจากในห้องน้ำ ซึ่งเธอบรรยายว่าเป็น "ห้องกักโรคระดับ VIP ของเธอ" และคลิปนี้มีผู้เข้าชมหลายล้านวิว และผู้คนจำนวนมากแสดงความคิดเห็นชื่นชมเธอ
ในคลิปดูหมือนโฟเตียโอ จะไม่ผิดหวังเท่าไหร่ที่แผนการพักผ่อนของเธอพังครืน เธอสวมหน้ากากอย่างน้อยๆ 3 ชั้น และชูสองนิ้วรูปตัววีให้กล้อง
หลังจากเครื่องบินลงจอดที่เมืองหลวงของไอซ์แลนด์ โฟเตียโอ ถูกพาตัวไปกักโรคที่โรงแรมมนุษยธรรมของกาชาด และเวลานี้อยู่ในกระบวนการกักโรคเป็นเวลา 10 วัน อย่างไรก็ตาม เธอเผยว่ารู้สึกสบายดีและปกติดี พร้อมทั้งวางแผนเดินทางออกจากไอซ์แลนด์ไม่กี่วันข้างหน้า
บิดา และน้องชายของเธอซึ่งอยู่บนเที่ยวบินเดียวกัน ทั้งคู่ต่างมีผลตรวจเชื้อเป็นลบและสามารถเดินทางสู่สวิตเซอร์แลนด์ จุดหมายปลายทางได้ตามกำหนดเดิม
(ที่มา : รัสเซียทูเดย์)