สหราชอาณาจักรรายงานเมื่อวันเสาร์ (18 ธ.ค.) พบเคสผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตัวกลายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งทางคณะที่ปรึกษาของรัฐบาลยอมรับเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็ง และนายกเทศมนตรีของกรุงลอนดอนต้องประกาศภาวะสาธารณภัยครั้งสำคัญ เพื่อช่วยเหลือโรงพยาบาลต่างๆ ของเมืองรับมือกับวิกฤตครั้งนี้
จำนวนเคสผู้ติดเชื้อตัวกลายพันธุ์โอมิครอนที่พบทั่วสหราชอาณาจักรอยู่ที่เกือบ 25,000 ราย จนถึง 18.00 จีเอ็มทีของวันศุกร์ (01.00 น.ของวันเสาร์) เพิ่มขึ้นจาก 24 ชั่วโมงก่อนหน้านี้กว่า 10,000 เคส สำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (UKHSA) ระบุ
เชื่อว่ามีผู้เสียชีวิตจากตัวกลายพันธุ์โอมิครอนแล้ว 7 ราย จนถึงวันพฤหัสบดี (16 ธ.ค.) เพิ่มขึ้น 1 ราย จากข้อมูลเดิมจนถึงวันอังคาร (14 ธ.ค.) ของทาง UKHSA ขณะที่จำนวนคนไข้ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล สืบเนื่องจากตัวกลายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้นจาก 65 คนเป็น 85 คน
กลุ่มที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์สำหรับเหตุฉุกเฉิน (Scientific Advisory Group for Emergencies - SAGE) ของทางรัฐบาล ระบุ "เกือบแน่นอน" จะว่ามีประชาชนหลายแสนคนติดเชื้อตัวกลายพันธุ์นี้ในแต่ละวัน
ขณะเดียวกัน SAGE ระบุในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ว่า หากปราศจากการยกระดับกฎระเบียบโควิด-19 เข้มข้นขึ้น "แบบจำลองต่างๆ บ่งชี้ว่าในชุดพีกสุดจะมีผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลอย่างน้อย 3,000 คนต่อวันในอังกฤษ"
เมื่อเดือนมกราคม หรือก่อนหน้าที่โครงการฉีดวัคซีนของสหราชอาณาจักรยกระดับความรวดเร็ว จำนวนคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวโรงพยาบาลในสหราชอาณาจักรอยู่ที่มากกว่า 4,000 คนต่อวัน
นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เจอก่อขบถภายในพรรคคอนเซอร์เวทีฟของเขาเอง เกี่ยวกับมาตรการบางอย่างที่เขาบังคับใช้จนถึงตอนนี้ในความพยายามจำกัดการแพร่ระบาดระลอกล่าสุดของโควิด-19 และหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งรายงานเมื่อวันเสาร์ (18 ธ.ค.) ว่า เดวิด ฟรอสต์ รัฐมนตรีเบร็กซิตของจอห์นสัน ตัดสินใจลาออกส่วนหนึ่งสืบเนื่องจากกฎข้อบังคับใหม่ๆ
คณะที่ปรึกษาบอกด้วยว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินความรุนแรงของโรคที่เกิดจากตัวกลายพันธุ์โอมิครอน แต่แม้หากความรุนแรงของมันลดลงพอประมาณเมื่อเทียบกับตัวกลายพันธุ์เดลตา "จำนวนเคสผู้ติดเชื้อในระดับสูงก็จะยังคงก่อแรงกดดันมหาศาลแก่โรงพยาบาลต่างๆ"
ชาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีลอนดอน ประกาศ "ภาวะสาธารณภัยครั้งสำคัญ" ซึ่งเปิดทางให้ประสานงานใกล้ชิดขึ้นระหว่างหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ และเป็นไปได้ที่รัฐบาลกลางจะมอบการสนับสนุนเพิ่มเติม ในขณะที่จำนวนคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลต่างๆ ในเมืองหลวงเพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในสัปดาห์นี้
เขาบอกว่าปัญหาขาดแคลนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน "ถ้อยแถลงนี้แสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ กำลังร้ายแรงแค่ไหน"
ข่าน จากพรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้าน เคยประกาศสาธารณภัยครั้งสำคัญมาแล้วในเดือนมกราคม ครั้งที่เคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กำลังเสี่ยงทำให้โรงพยาบาลต่างๆ รองรับผู้ป่วยไม่ไหว
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขระบุในวันศุกร์ (17 ธ.ค.) ว่าคาดหมายว่าตัวกลายพันธุ์โอมิครอนคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของเคสคนไข้โควิด-19 รายใหม่ในลอนดอน
จอห์นสัน มีกำหนดเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการฉุกเฉินในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ร่วมกับคณะผู้บริหารบริหารที่ได้รับการมอบอำนาจจากส่วนกลางที่เรียกว่า 'devolved administrations' ได้แก่ สกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งมีอำนาจของตนเองในด้านสาธารณสุข
รายงานข่าวของหนังสือพิมพ์เดอะไทม์สระบุว่า เจ้าหน้าที่กำลังร่างกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งหากมีการบังคับใช้จะห้ามรวมตัวกันในร่มในอังกฤษ ยกเว้นแต่ทำงาน เป็นเวลา 2 สัปดาห์ หลังจากคริสต์มาส ขณะที่ช่วงเทศกาลคริสต์มาส ผับและร้านอาหารต่างๆ จะให้บริการได้เฉพาะโต๊ะกลางแจ้งแบบจำกัดจำนวน
หนังสือพิมพ์ฉบับนี้รายงานว่า การรวมตัวเป็นกลุ่มกลางแจ้งจะถูกจำกัดจำนวนไว้ที่ไม่เกิน 6 คน อย่างไรก็ตาม บรรดาคณะรัฐมนตรียังไม่ได้พิจารณาแผนดังกล่าวอย่างเป็นทางการ ขณะที่ จอห์นสัน ระบุก่อนหน้านี้เมื่อวันศุกร์ (17 ธ.ค.) ว่า "เราจะไม่ปิดตายทุกสิ่งทุกอย่าง"
โฆษกของรัฐบาลรายหนึ่งระบุว่า "รัฐบาลจะเดินหน้าตรวจสอบทุกข้อมูลที่ปรากฏและจะทบทวนพิจารณามาตรการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทันทีที่เราเรียนรู้รับทราบเกี่ยวกับตัวกลายพันธุ์นี้มากขึ้น"
จำนวนเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่รายวันในข้อมูลอย่างเป็นทางการ ลดลงเหลือ 90,418 คนในวันเสาร์ (18 ธ.ค.) จากระดับ 93,000 คนในวันศุกร์ (17 ธ.ค.) แต่ยังคงเป็นจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันสูงสุดเป็นลำดับ 2 ของประเทศ
เคสผู้ติดเชื้อใหม่ในช่วง 7 วันจนถึงวันที่ 18 ธันวาคม เพิ่มขึ้นจากช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้านั้นถึง 44.4%
ในวันเสาร์ (18 ธ.ค.) ได้เกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับกลุ่มผู้ประท้วงต่อต้านข้อจำกัดสกัดโควิด-19 ล่าสุด ใกล้ทำเนียบนายกรัฐมนตรี มีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มีการจับกุมใคร
(ที่มา : รอยเตอร์)