จีนระบุ การเพิ่มซ้อมรบและส่งเครื่องบินเฉียดใกล้ไต้หวันในช่วงไม่นานมานี้ มีเป้าหมายที่กองกำลังต่างชาติซึ่งแทรกแซงกิจการภายในและสนับสนุนให้ไทเปประกาศเอกราชอย่างเป็นทางการ จึงถือเป็นการกระทำที่ “เหมาะสม” เพื่อปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพของช่องแคบไต้หวัน ส่วนทางด้านประธานาธิบดีของเกาะแห่งนี้ประกาศย้ำจะไม่ก้มหัวให้การกดดันจากปักกิ่ง
สัปดาห์ที่แล้ว รัฐมนตรีกลาโหมไต้หวันระบุว่า ความตึงเครียดทางทหารระหว่างไต้หวันกับปักกิ่งในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ถือว่าเลวร้ายที่สุดในรอบ 4 ทศวรรษ พร้อมกันนี้เขายังสำทับว่า จีนจะมีศักยภาพรุกรานไต้หวันเต็มรูปแบบภายในปี 2025
การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวมีขึ้นหลังจากจีนระดมส่งเครื่องบินรบจำนวนหลายสิบลำ รุกเข้าสู่เขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศของไต้หวัน อย่างต่อเนื่อง 4 วันติดต่อกันนับตั้งแต่วันที่ 1 เดือนนี้ ซึ่งไทเปมองว่า เป็นการยกระดับการคุกคามทางทหาร
ทว่า ในการแถลงข่าวปกติเมื่อวันพุธ (13) หม่า เสี่ยวกวง โฆษกสำนักงานกิจการไต้หวันของจีน กล่าวว่า ต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดในขณะนี้คือ การที่พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (ดีพีพี) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลไต้หวันในปัจจุบัน สมคบกับกองกำลังต่างชาติ และยั่วยุด้วยการพยายามประกาศเอกราช
หม่าสำทับว่า การซ้อมรบของจีนเป็นการกระทำที่เหมาะสม โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การขัดขวางการสมรู้ร่วมคิดดังกล่าว ทั้งนี้ เพื่อปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศ ตลอดจนถึงสันติภาพและเสถียรภาพในช่องแคบไต้หวัน
เขายังบอกว่า การที่ดีพีพีโจมตีว่า จีนคุกคามทางทหาร เป็นความพยายามเปลี่ยนสิ่งที่ถูกกลายเป็นผิด และเป็นข้อกล่าวหาหลอกลวง พร้อมเตือนว่า ไต้หวันจะตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น ถ้าดีพีพียังดื้อรั้นที่จะเดินในทางผิดและไม่รู้วิธีพาตัวเองออกจากสถานการณ์เสี่ยง
ทั้งนี้ ปักกิ่งหรือสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้นถือว่าไต้หวันเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของตน ซึ่งจะต้องกลับมารวมกับแผ่นดินใหญ่ และจะใช้กำลังเข้ายึดถ้าจำเป็น ขณะที่ไต้หวันซึ่งแต่เดิมเคยอ้างตนเป็นตัวแทนของประเทศจีนแต่ผู้เดียวเหมือนกัน แต่มีนานาชาติรับรองลดน้อยลงเรื่อยๆ จนเหลือหยิบมือเดียว ในช่วงหลังๆ แม้ยังคงใช้ชื่อประเทศอย่างเป็นทางการว่า “สาธารณรัฐจีน” ทว่าพยายามวางตัวว่ามีการปกครองของตนเองอย่างเป็นอิสระ รวมทั้งจะปกป้องเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยของตนเอง พร้อมกล่าวหาจีนข่มขู่คุกคามทำให้สถานการณ์ตึงเครียด
ขณะที่หม่าแสดงความคิดเห็นค่อนข้างดุเดือด ทว่า ทั้งประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และประธานาธิบดีไช่ อิง-เหวินของไต้หวัน ต่างมีท่าทีประนีประนอมมากกว่าระหว่างการปราศรัยในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้สีประกาศชัดเจนว่า จะต้องผนวกไต้หวัน และไช่ยืนกรานว่า จะไม่ก้มหัวให้การคุกคามของจีนก็ตาม
กระนั้น สีไม่ได้กล่าวว่า จะใช้กำลังกับไต้หวัน ส่วนไช่ย้ำว่า ต้องการเจรจาอย่างสันติกับปักกิ่ง
ไช่ยังกล่าวระหว่างการแถลงข่าวปกติในวันพุธว่า รัฐบาลไต้หวันไม่เคย “หงอ” เมื่อเผชิญการคุกคามทางทหารจากจีน แต่ก็ไม่เคย “บุ่มบ่าม” เช่นเดียวกัน
ผู้นำไต้หวันยังย้ำว่า ไทเปจะไม่ยอมอ่อนข้อต่อแรงกดดัน แต่การเสริมสร้างศักยภาพการป้องกันตัวเองคือภารกิจสำคัญอันดับแรกของรัฐบาล
ทางด้านผู้สังเกตการณ์ภายนอกมองว่า กิจกรรมทางทหารของจีนมีเป้าหมายเพื่อลดทอนศักยภาพการป้องกันการโจมตีทางกายภาพของไต้หวัน ควบคู่กับการเสี้ยมให้คนไต้หวันต่อต้านผู้นำด้วยการทำสงครามทางจิตวิทยา
เชลลีย์ ริกเกอร์ นักรัฐศาสตร์ของเดวิดสัน คอลเลจในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ของสหรัฐฯ ซึ่งติดตามสังเกตการณ์การเมืองไต้หวันมายาวนาน กล่าวว่า ดูเหมือนจีนกำลังพยายามใช้สถานการณ์ที่ตึงเครียดขึ้นเพื่อป้องปรามไต้หวันให้เลิกจินตนาการว่า มีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงสถานะของตัวเอง รวมทั้งยังพยายามขัดขวางไม่ให้อเมริกาให้การสนับสนุนหรือทำให้ไต้หวันเชื่อว่า นี่คือโอกาสในการทำสิ่งที่เกินความสามารถ
นอกจากนั้น เขายังคิดว่า กองทัพปลดแอกประชาชนจีนกำลังทดสอบแสนยานุภาพปฏิบัติการของตัวเองด้วยยุทธศาสตร์ยิงนัดเดียวได้นกสองตัว ซึ่งหมายถึงการส่งสัญญาณชัดเจนเตือนทั้งไต้หวันและอเมริกา
(ที่มา: รอยเตอร์, เอพี)