xs
xsm
sm
md
lg

ไต้หวัน...กับความเป็น “ลิเบอร่าน”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ไช่ อิงเหวิน
ไหนๆ ก็ไหน...เพื่อไม่ให้ถึงกับต้องตื่นเต้ลล์ล์ล์ ตกใจ จนเกินเหตุ วันนี้เลยคงต้องขออนุญาตแวบไปดูฉากเหตุการณ์แถวๆ ช่องแคบไต้หวันสักนี๊ดๆ โหน่ยๆ เพราะจากข่าวคราวประเภท “เครื่องบินจีน” บินฉวัดเฉวียนเหนือช่องแคบไต้หวัน หรือถึงขนาดล่วงละเมิดเข้าไปในเขตสำแดงตน (ADIZ) นับเป็นร้อยๆ เที่ยว มีทั้งเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินโจมตี เล่นเอาทั้งคุณพ่ออเมริกา และบรรดาผู้นำระดับสูงของไต้หวัน ตั้งแต่ประธานาธิบดีไปยันรัฐมนตรีกลาโหม ออกมาเอะอะมะเทิ่ง โว๊กว๊ากโวยวายกันไปเป็นแถบๆ ไปจนถึงการซ้อมรบ การขนเอาเรือดำน้ำ เรือบรรทุกเครื่องบินของทั้งสองฝ่าย ออกมาแล่นหาปลาในแถบน่านน้ำทะเลจีนใต้ ชนิดชุลมุน ชุลเก ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อาจก่อให้เกิดความ “หูแหก-ตาแหก” สำหรับใครต่อใครไปเป็นจำนวนไม่น้อย...

คือหวั่นๆ ว่า...ด้วยความตึงเครียดและการเผชิญหน้าทำนองนี้ อาจนำไปสู่การปะทะ การสาดบ้องข้าวหลามยักษ์ ฯลฯ ใส่กันและกันเอาง่ายๆ ไม่ก็อาจเกิด “อุบัติเหตุทางทหาร” อย่างประเภทเรือดำน้ำอเมริกา “USS Connecticut” ที่ดันแล่นไปชนอะไรต่อมิอะไรก็ยังมิอาจทราบรายละเอียดได้แน่ชัด แต่ทั้งนั้น ทั้งนี้...ถ้าหากฟังจากน้ำเสียงของผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ที่ออกมาพูดจาปราศรัย เนื่องในวันครบรอบการปฏิวัติ 110 ปีของจีน เมื่อช่วงวันเสาร์ (9 ต.ค.) ที่ผ่านมา ระดับ “พญามังกรคะนองคลื่น” อย่างคุณพี่จีนทุกวันนี้ คงไม่ถึงกับคิด “พ่นไฟ” ใส่ใครต่อใครแบบดื้อๆ ทื่อๆ!!! โดยเฉพาะระหว่างกำลังตั้งหน้า ตั้งตา ลอดเลื้อยและโอบกระหวัดรัดพัน “โลกทั้งโลก” ตามแนวคิดแห่งอภิมหาโครงการ “Belt and Road” อยู่ในช่วงระหว่างนี้ หรือยังคงยืนหยัด ยืนยัน ที่จะหาทาง “รวมชาติโดยสันติวิธี” นั่นแหละเป็นหลัก...

คือเรื่องของ “ไต้หวัน” นั้น...อันที่จริงก็เพิ่งจะมา “ร้อน” หรือเพิ่งตับแลบ ม้ามแลบ เมื่อช่วงประมาณ 5-6 ปีมานี่เอง หลังจากที่พรรค “DPP” (Democratic Progressive Party) ของ “นางไช่ อิงเหวิน” (Tsai Ing-Wen) ท่านสามารถเอาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดี ตามระบอบการปกครองแบบ “ประชาธิปไตย” ที่เริ่มเปิดโอกาสให้เลือกโน่น เลือกนี่ เป็นครั้งแรก เพียงแค่ 25 ปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง หรือช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 เป็นต้นมา จนสามารถผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อช่วงปี ค.ศ. 2016 โดยอาศัยฐานเสียงจากพวกเด็กๆ เยาวชนคนหนุ่ม-สาว ที่ออกจะเกลียดคอมมิวนิสต์ กลัวเผด็จการ เลยหันไปรัก “ฝรั่ง” ไปชื่นชม ยินดี กับพวกเสรีนิยม หรือพวก “ลิเบอร่าน” กันแทนที่ ความคิดที่จะแยกประเทศ แยกดินแดนไต้หวัน ให้พ้นไปจากเงื้อมมือของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มันจึงเริ่มต้นเป็นจริง-เป็นจัง นับตั้งแต่จุดนี้ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจ “ประวัติศาสตร์” ไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พันปี หรือแม้แต่จุดเริ่มต้นความคิดในการ “ปฏิวัติประเทศจีน” ของอดีตผู้นำพรรคก๊กมินตั๋ง อย่าง “ดร.ซุน ยัดเซ็น” (Sun Yat-Sen) ที่ทำให้ชาวจีนทั้งหลายหันมาเฉลิมฉลองครบรอบ 110 ปี อยู่ในขณะนี้...

พูดง่ายๆ ว่า...ถ้าหากไม่มีพรรค “DPP” ซะอย่าง!!! หรือถ้าหากพรรคการเมืองพรรคนี้ ไม่มาแรงแซงโค้ง แบบเดียวกับ “พรรคอนาคตหมด(ใหม่)” ของบ้านเรา โอกาสที่จะจุดประกายความคิดการแยกประเทศ แยกดินแดนไต้หวัน ออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของจีน หรือเป็น “เอกราช” แบบเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ มันคงไม่น่าจะไปไกลถึงขั้นนั้น และคงไม่ก่อให้เกิดแรงกระตุ้น เกิดความกระเหี้ยนกระหือรือ ไม่ว่าต่อคุณพ่ออเมริกา หรือต่อผู้ช่วยนายอำเภอออสเตรเลีย ในการยุแยงตะแคงรั่ว ผู้คนในเกาะเล็กๆแห่งนี้มากมายสักเท่าไหร่นัก ไม่เกิดรายการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” อย่างเป็นจริง-เป็นจัง อย่างเป็นระบบและกิจการจนเกินไป เพราะบรรดาพรรคการเมืองคู่แข่งของ “DPP” อย่างเช่นพรรค “KMT” หรือพรรค “ก๊กมินตั๋ง” (Kuomintang) ที่สืบทอดแนวคิด อุดมการณ์ อุดมคติ มาตั้งแต่ “ดร.ซุน ยัดเซ็น” “เจียง ไคเช็ก” จนถึงอดีตประธานาธิบดี “ลี เต็งฮุย” ฯลฯ มาโดยตลอด อย่างน้อย...ก็ยังพอคำนึงถึง “ประวัติศาสตร์” ความเป็นชาติ ความเป็นจีน จนไม่ถึงกับรังเกียจ รังงอนความเป็นส่วนหนึ่งของจีนภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์มากมายสักเท่าไหร่ ยิ่งเป็นพรรคประเภท “Pro-Reunification” อย่างพรรค “New Party of Taiwan” ด้วยแล้ว ยิ่งอยากจะให้รวมชาติ รวมประเทศกันให้ไวๆ...

แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุที่ความ “ลิเบอร่าน” ในไต้หวัน มันออกจะมาแรงแซงโค้ง ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว การผงาดขึ้นเป็นประธานาธิบดีของผู้ที่ “โปร-อเมริกัน” มาโดยตลอด อย่าง “นางไช่ อิงเหวิน” จึงก่อให้เกิด “แรงกระเพื่อม” ที่ออกจะกว้างไกลยิ่งเข้าไปทุกที แม้ว่าช่วงปลายๆ แห่งการผงาดขึ้นเป็นผู้นำไต้หวันครั้งแรก เธอหวิดจะ “ตกม้าตาย” เพราะ “ปัญหาเศรษฐกิจ” คะแนนนิยมลดฮวบๆ ฮาบๆ ยิ่งกว่า “บิ๊กตู่” บ้านเรา ชนิดแทบไม่อาจตีตั๋วยาวไปจน 8 ปี หรือ 13 ปี ก็แล้วแต่ แต่เผอิญว่าเมื่อช่วง 2 ปีที่แล้ว หรือประมาณเดือนมิถุนายนปี ค.ศ. 2019 มันดันเกิด “ม็อบทะลุแก๊ส” อุบัติขึ้นมาในดินแดนฮ่องกง อันเนื่องมาจากกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดน ที่หนักหนา-สาหัสไม่น้อยกว่าม็อบบ้านเรา อันนี้นี่แหละ...ที่กลายเป็นตัวกอบกู้คะแนนนิยมของ “นางไช่ อิงเหวิน” ให้มีโอกาสกลับมาผงาดเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ได้แบบเดียวกับบรรดาผู้ที่ออกแรงยุพวกเด็กๆ ยุพวกม็อบทะลุแก๊ส ในบ้านเราช่วงนี้นี่เอง...

ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันปี ค.ศ. 2020 ด้วยกระแส “ม็อบฮ่องกง” ที่กำลังมาแรงแซงโค้ง จึงส่งผลให้บรรดาเด็กๆ หรือพวก “ลิเบอร่าน” ในไต้หวัน ต่างแห่ไปเทคะแนนให้กับพรรค “DPP” กันถึง 8.2 ล้านคน หรือ 57.1 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ใช้สิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด ขณะที่พรรค “KMT” ของ “นายฮั่น กั๊ว หยู” (Han Kuo-yu) ที่ยังคงคำนึงถึงประวัติศาสตร์ความเป็นชาติและความเป็นจีน ได้คะแนนเพียงแค่ 38.6 เปอร์เซ็นต์ หรือ 5.5 ล้านคนเท่านั้นเอง แต่ก็นั่นแหละ...การทิ้งห่างของคะแนนเสียงในระดับนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นตัวชี้ขาดว่าชาวเกาะไต้หวันทั่วทั้งเกาะ จะเห็นดี เห็นงาม กับการแยกบ้าน แยกเมือง แยกประเทศ ออกจากแผ่นดินใหญ่ก็หาไม่ หรืออย่างน้อยก็ยังมีชาวไต้หวันอีกถึง 5-6 ล้านคน ที่ไม่ได้ถึงกับรังเกียจ รังงอน ไม่ได้เกลียด-กลัวเผด็จการคอมมิวนิสต์จนเกินไป...

ดังนั้น...ไม่ว่าเครื่องบินขับไล่ เครื่องบินโจมตี หรือเครื่องบินทิ้งระเบิด ตลอดไปจนเรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน จะบินไป-บินมา แล่นไป-แล่นมา อยู่แถวๆ ช่องแคบไต้หวัน หรือน่านฟ้าไต้หวัน สักกี่เที่ยวต่อกี่เที่ยว ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องระมัดระวังอย่างเต็มที่ ไม่ให้ระเบิด หรือบ้องข้าวหลามยักษ์ใดๆ ดันไปหล่นใส่หัวกบาลบรรดาชาวไต้หวันโดยทั่วไปอยู่แล้วแน่ๆ!!! ความพยายามหาทาง “รวมชาติโดยสันติวิธี” จึงเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในคำปราศรัยของผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ค่อนข้างชัดเจน แม้ว่าภายใต้คำปราศรัยดังกล่าว จะแสดงความหนักอก-หนักใจมิใช่น้อย ต่อบรรดาพวก “แยกดินแดนไต้หวัน” ที่กำลังพยายาม “สร้างแรงกดดันอันน่าวิตกต่อการฟื้นคืนแห่งความเป็นชาติจีน” (National Rejuvenation) อันเป็นสิ่งที่อดีตผู้นำอย่าง “ดร.ซุน ยัดเซ็น” ถือเป็นแก่นสาระสำคัญในการก่อการปฏิวัติเมื่อช่วง 110 ปีที่แล้ว...

หรือพูดง่ายๆ ว่า...สิ่งที่ประธานาธิบดี “ไช่ อิงเหวิน” เธอพยายามงัดมาใช้สร้าง “จุดขาย” ให้กับพรรค “DPP” มาโดยตลอดจนตราบเท่าทุกวันนี้ มันแทบไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องความเป็นชาติ หรือแม้แต่ความเป็นจีน เอาเลยแม้แต่น้อย เป็นแค่เรื่อง “ความเป็นประชาธิปไตย-ไม่เป็นประชาธิปไตย” นั่นแหละเป็นหลัก โดยเพียงแค่ให้ได้มาซึ่งสิ่งที่บรรดาพวก “ลิเบอร่าน” ทั้งหลายปรารถนาและต้องการ เธอถึงกับยอมลงทุนสั่งซื้อเนื้อสุกรเร่งสารพิษจากอเมริกาไปพร้อมๆ กับซื้ออาวุธล็อตแล้ว ล็อตเล่า ปฏิเสธที่จะด่าญี่ปุ่นซึ่งกำลังคิดเทน้ำปนเปื้อนมลพิษจากโรงงานนิวเคลียร์ฟุกุชิมะลงสู่มหาสมุทร ปฏิเสธที่จะใช้วัคซีนซิโนแวค ซิโนฟาร์ม ซึ่งรัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์คิดส่งมาช่วยเหลือชาวไต้หวัน ไปจนถึงการเชื้อเชิญทหารนาวิกโยธินอเมริกันให้เข้ามาฝึกทหารไต้หวันเอาไว้สู้กับทหารจีนโดยเฉพาะ ฯลฯ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ สุดท้าย...จะยัง “ขายได้” ไปอีกสักกี่ปีต่อกี่ปีก็ยังมิอาจทราบได้ แต่ถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็นของ “นายYok Mu-ming” ประธานพรรค “New Party of Taiwan” ไม่น่าจะเกิน 2 ปีนับจากนี้ แนวโน้มแห่งการ “รวมชาติโดยสันติวิธี” น่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ภายในปี ค.ศ. 2024 หรือหลังจากพรรค “DPP” อาจมีจุดจบแบบเดียวกับพรรคอนาคตหมด หรืออนาคตไหม้ บ้านเรา...นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น