เอพี - เอฟบีไอเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนจากเอกสารลับที่ให้รายละเอียดการติดต่อระหว่างสลัดอากาศซาอุฯ 2 คนในเหตุวินาศกรรม 9/11 กับชาวซาอุฯ ในอเมริกาที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลซาอุฯ อย่างไรก็ตาม ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเจ้าหน้าที่ริยาดสมรู้ร่วมคิดในการก่อการร้ายนี้
เอกสารนี้ได้รับการเผยแพร่เมื่อคืนวันเสาร์ (11 ก.ย.) ในวาระครบรอบ 20 ปีวินาศกรรม 11 กันยายน ถือเป็นบันทึกการสอบสวนชุดแรกที่เปิดเผยออกมา หลังจากสัปดาห์ที่แล้ว ประธานาธิบดีโจ ไบเดน สั่งให้ตรวจสอบเอกสารเหล่านี้และเปิดเผยในขอบเขตที่เปิดเผยได้ภายใน 6 เดือน
คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ไบเดนถูกครอบครัวผู้เสียชีวิตจากวินาศกรรม 9/11 กดดัน เนื่องจากต้องการข้อมูลเพื่อไปประกอบการฟ้องร้องในนิวยอร์กที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาอุฯ ให้การสนับสนุนสลัดอากาศ
เอกสารที่มีการตรวจสอบอย่างเข้มข้นนี้มีความยาว 16 หน้า โดยเป็นสรุปข้อมูลการสอบปากคำของสำนักงานสอบสวนกลาง (เอฟบีไอ)
จิม ไครด์เลอร์ ทนายความของครอบครัวผู้เสียชีวิต แถลงเมื่อคืนวันเสาร์ว่า การค้นพบและข้อสรุปการสอบสวนของเอฟบีไอเป็นการยืนยันข้อกล่าวหาในคำฟ้องเกี่ยวกับความรับผิดชอบของรัฐบาลซาอุฯ ในเหตุการณ์ 9/11 เนื่องจากเอกสารที่มีการเปิดเผยประกอบกับหลักฐานสาธารณะที่รวบรวมได้จนถึงขณะนี้ ให้ภาพร่างพิมพ์เขียววิธีการปฏิบัติงานของสมาชิกอัล/กออิดะห์ที่กบดานอยู่ในอเมริกาและรับรู้กันว่า ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซาอุฯ
ไครด์เลอร์ สำทับว่า ผู้เกี่ยวข้องรวมถึงเจ้าหน้าที่ซาอุฯ ที่โทร.ติดต่อกับสายลับอัล-กออิดะห์ และบังเอิญเจอกับสลัดอากาศ อีกทั้งช่วยหาที่พักและโรงเรียนการบินให้ด้วย
ทั้งนี้ ภายหลังเหตุโจมตี 9/11 ไม่นาน มีการคาดเดากันว่า เจ้าหน้าที่ซาอุฯ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย หลังจากมีการเปิดเผยว่า ผู้ก่อการร้าย 15 จาก 19 คนที่ก่อเหตุในวันดังกล่าวเป็นชาวซาอุฯ นอกจากนั้น อุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้นำอัล-กออิดะห์ ยังมาจากครอบครัวชั้นนำในประเทศเศรษฐีน้ำมันแห่งนี้
จากเอกสารที่เปิดเผย อเมริกาได้สอบปากคำนักการทูตซาอุฯ บางคน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐบาลริยาดคนอื่นๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับผู้ที่รู้จักสลัดอากาศหลังจากผู้ก่อการร้ายเหล่านี้เดินทางเข้าสู่อเมริกา
ถึงกระนั้น รายงานของคณะกรรมการ 9/11 ในปี 2004 สรุปว่า รัฐบาลซาอุฯ และเจ้าหน้าที่อาวุโสของซาอุฯ ไม่ได้ให้ทุนสนับสนุนการโจมตีของอัล-กออิดะห์ แต่ตั้งข้อสังเกตว่า มูลนิธิการกุศลซาอุฯ หลายแห่งอาจยักย้ายเงินส่งให้กลุ่มก่อการร้ายนี้
การสอบสวนพุ่งเป้าที่สลัดอากาศ 2 คนแรกที่เดินทางเข้าสู่อเมริกา ได้แก่ นาวาฟ อัล-ฮาซมี และคาลิด อัล-มิห์ดาร์ และการสนับสนุนที่ทั้งคู่ได้รับ
เดือนกุมภาพันธ์ 2002 หลังจากเดินทางถึงทางใต้ของแคลิฟอร์เนียไม่นาน ทั้งสองได้พบโอมาร์ อัล-บายูมี ที่ช่วยหาอพาร์ตเมนต์ในซานดิเอโกให้ โดยชายผู้นี้เป็นชาวซาอุฯ ที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลซาอุฯ และเคยถูกเอฟบีไอจับตามาก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างการสอบปากคำ บายูมี บอกเอฟบีไอว่า การพบกันครั้งดังกล่าวเป็นการพบโดยบังเอิญ
สำหรับการสอบปากคำเมื่อปี 2015 ซึ่งเป็นข้อมูลพื้นฐานในเอกสารที่เผยแพร่นี้ เป็นการสอบปากคำชายคนหนึ่งที่ทำงานในสถานกงสุลซาอุฯ ในลอสแองเจลิส และยื่นขอสัญชาติอเมริกัน และก่อนหน้านั้นหลายปีเคยติดต่อกับชาวซาอุฯ ที่ให้การสนับสนุนด้านโลจิสติกส์แก่สลัดอากาศหลายคน และหนึ่งในคนที่ชายผู้นี้ติดต่อคือ บายูมี
อีกคนที่มีชื่ออยู่ในเอกสารคือ ฟาฮัด อัล-ทูไมรี ซึ่งขณะเกิดวินาศกรรมทำหน้าที่เป็นนักการทูตที่ได้รับการรับรองในสถานกงสุลซาอุฯ ในลอสแองเจลิส และเจ้าหน้าที่สอบสวนระบุว่า เป็นผู้นำกลุ่มหัวรุนแรงในมัสยิด
เอกสารระบุว่า การวิเคราะห์การสื่อสารพบว่า ในปี 1999 มีการโทร.พูดคุยนาน 7 นาที ระหว่างทูไมรีกับบ้านที่ซาอุฯ ของสองพี่น้องที่ต่อมาถูกควบคุมตัวในคุกกวนตานาโมที่คิวบา