ในสภาพวิกฤตที่ตอลิบานใช้ความรุนแรงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังทวีจำนวนด่านตรวจจับในพื้นที่ใกล้สนามบินนานาชาติในกรุงคาบูล เมืองหลวงแห่งอัฟกานิสถาน บรรดาชาวอัฟกันที่เคยร่วมภารกิจกับทหารสหรัฐอเมริกา ปราบปรามจับกุมแกนนำกองกำลังตอลิบานตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทั้งอดีตคอมมานโด ทั้งอดีตล่าม กลายเป็นผู้ถูกตอลิบานขู่ฆ่าและตามไล่ล่าแก้แค้นด้วยความเกลียดแค้นในสถานการณ์ที่ตอลิบานเข้ายึดคาบูลได้ตั้งแต่ 15 สิงหาคม 2021 พวกเขาจึงทราบดีว่าหากดั้นด้นเดินทางสู่สนามบินเพื่อให้สหรัฐฯ พาอพยพหนีออกนอกประเทศ นั่นย่อมหมายถึงการเดินไปให้นักรบตอลิบานสังหารเอาง่ายๆ
ปฏิบัติการด่วนสับปะรด (Operation Pineapple Express หรือ OPE) โดยทีมทหารผ่านศึกอเมริกันแห่งสงครามอัฟกานิสถาน จึงอุบัติขึ้นเพื่อนำทางสหายร่วมรบพร้อมครอบครัวรวมกว่าครึ่งพัน ให้สามารถหลบหลีกด่านตรวจและทีมลาดตระเวนตอลิบาน จนเข้าสู่พื้นที่สนามบินได้สำเร็จ
ปฏิบัติการ OPE : มหกรรมช่วยเหลือ 500 รายแบบทิ้งทวน หลังทยอยพาเข้าสนามบินได้ค่ำคืนละ 10-20 ราย
การดำเนินภารกิจนำพาชาวอัฟกันเหล่านี้เข้าสู่สนามบิน มีขึ้นต่อเนื่องสิบวันนับจากค่ำคืนที่ 15 สิงหาคม 2021 โดยจะนำพาไปคราวละ 1-2 ราย ซึ่งมีบ้าง (แต่น้อยครั้ง) ที่จะไปเป็นกลุ่มเล็กๆ และอาศัยความมืดมิดยามราตรีช่วยกำบังเพื่อลดความเสี่ยงต่ออันตราย เพราะหากตอลิบานจับได้ คือต้องตายสถานเดียว
ทีมปฏิบัติการให้สัมภาษณ์แก่เอบีซี นิวส์ ว่านี่เป็นการดำเนินงานอย่างไม่เป็นทางการ โดยประสานความร่วมมือกับฝ่ายทหารอเมริกันและฝ่ายสถานทูตสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ด้านในพื้นที่สนามบินนานาชาติฮามิด การ์ไซ
ขณะที่มีการสะสมประสบการณ์จนมั่นใจและขณะที่จำนวนชาวอัฟกันกลุ่มเป้าหมายที่รอรับความช่วยเหลือยังมีอยู่หลายร้อยชีวิต ทีมปฏิบัติการได้สร้างแผนเคลื่อนย้ายแบบที่มีระบบหลบหลีกภัยอย่างละเอียด ในอันที่จะสนับสนุนให้สามารถเคลื่อนย้ายได้หลายระลอกอย่างเป็นมหกรรม เพื่อให้เสร็จภารกิจ นำพาได้ครบทุกรายภายในหนึ่งคืนหนึ่งวัน แล้วปิดงานกันไปเลย
ภารกิจแห่งปฏิบัติการ Pineapple Express จึงถูกกำหนดขึ้น ณ ค่ำคืนพุธ 25 สิงหาคม 2021 จดไปถึงวันพฤหัสบดี 26 สิงหาคม โดยมีการกำหนดกรอบเวลาคาบแรกว่าจะเสร็จสิ้นก่อนรุ่งสาง และหลังจากนั้นก็มีการนำพาเข้าพื้นที่สนามบินในรอบระหว่างวันด้วย ซึ่งกำหนดให้จบภารกิจภายในวันพฤหัสบดี
ในภารกิจรอบระหว่างวัน ปฏิบัติการ OPE กำลังดำเนินการกันจวนจะเสร็จสิ้นด้วยดีตอนที่ระเบิดฆ่าตัวตายแผลงฤทธิ์เปรี้ยงปร้างขึ้นมา ณ เวลาท้องถิ่นประมาณ 17.50 น. บริเวณหน้าประตูแอ้บบี หนึ่งในสี่ช่องทางเข้าสู่สนามบินฮามิด การ์ไซ
เอบีซีนิวส์รายงานว่า ชาวอัฟกันจำนวนหนึ่งที่เคลื่อนย้ายภายใต้การนำของคนต้อนฝูงแกะได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิด นอกจากนั้น สมาชิกทีม OPE บางรายบอกว่าทีมอยู่ระหว่างตรวจสอบว่ามีชาวอัฟกันที่เป็นกลุ่มเป้าหมายความช่วยเหลือ แต่ไม่ได้มาภายใต้กำกับของคนต้อนฝูงแกะ ได้เสียชีวิตไปด้วยแรงระเบิดหรือไม่
ในท่ามกลางความโกลาหล เจ้าหน้าที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ รีบนำชาวอัฟกันภายใต้ปฏิบัติการ OPE เข้าสู่พื้นที่สนามบินกันทั้งหมด
ทีม OPE ให้ตัวเลขผลสัมฤทธิ์ของปฏิบัติการโดยสรุปยอดถึงช่วงเช้ามืดวันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม ว่า ทีมสามารถนำพาสหายอัฟกันผู้ร่วมปราบปรามตอลิบาน พร้อมครอบครัว หลบเข้าพื้นที่สนามบินในช่วงข้ามคืนที่ผ่านมา ได้มากกว่า 500 ราย พร้อมกับส่งมอบทุกคนสู่ความคุ้มครองดูแลของทหารสหรัฐฯ ในสนามบินแบบเรียงตัวเป็นที่เรียบร้อย
ปฏิบัติการ OPE ที่เกิดขึ้นในคืนวันพุธ 25 ต่อเนื่องถึงวันพฤหัสบดี 26 สิงหาคม เป็นปฏิบัติการชุดใหญ่ปิดท้ายภารกิจหลักที่ตั้งต้นเมื่อค่ำคืนวันที่ 15 สิงหาคมซึ่งเรียกกันในทีมว่า ปฏิบัติการคุ้มกันพันธมิตร (Operation Allies Refuge) โดยในรอบ 10 วัน (15-24 สิงหาคม) ทีมงานสามารถนำพาคนอัฟกันหลบกองกำลังตอลิบานที่ตั้งจุดสกัดรอบสนามบินและกระจายไปทั่วกรุง จนกระทั่งสามารถเข้าพื้นที่สนามบินได้สำเร็จ 130 ราย
ดังนั้น สิริรวมจำนวนชาวอัฟกันที่ผ่านเข้าสู่สนามบินได้ทั้งสิ้นมีไม่น้อยกว่า 630 คน อันเป็นผลงานความสำเร็จร่วมกันของฝ่ายต่างๆ รวมมากกว่า 50 ราย ที่ร่วมมือกันเป็นคณะใหญ่เพื่อช่วยพันธมิตรอัฟกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ คือ
- ทีมปฏิบัติการหลักของ Pineapple Express
- ทีมความร่วมมือเฉพาะกิจของทหารปฏิบัติการพิเศษทั้งรุ่นทหารผ่านศึกและทั้งทหารประจำการอยู่ในปัจจุบัน
- เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานในหน่วยให้ความช่วยเหลือ
- เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง
- เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มากด้วยประสบการณ์ในอัฟกานิสถาน
ชาวอัฟกันหลายร้อยรายที่ได้รับการนำพาเข้าสู่ภายในสนามบินฮามิด การ์ไซ ระหว่างคืนที่ 25 สิงหาคม ถึงเย็นวันที่ 26 สิงหาคม ประกอบด้วยบุคคลในบัญชีสังหารของตอลิบานนับร้อย พร้อมครอบครัวซึ่งมีทั้งลูกเล็กเด็กแดง เด็กกำพร้าพ่อ ตลอดจนสตรีมีครรภ์ ซึ่งถูกพาให้เคลื่อนไปตามท้องถนนต่างๆ ของกรุงคาบูลแบบหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดคืน และตลอดกระทั่งในช่วงไม่กี่วินาทีก่อน 17.50 น.ที่ผู้ก่อการร้าย ISIS จะจุดระเบิดฆ่าตัวตาย
พ.ท.สก็อตต์ มานน์ หนึ่งในแกนนำของทีมผู้ริเริ่มปฏิบัติการอาสาสมัครนี้ เล่ารายละเอียดข้างต้นให้แก่เอบีซี นิวส์ โดย พ.ท.มานน์ เป็นทหารผ่านศึกแห่งสงครามอัฟกัน อดีตผู้บัญชาการหน่วยกรีนเบเรต์ ซึ่งเป็นหน่วยรบพิเศษกองทัพบกสหรัฐฯ ซึ่งเชี่ยวชาญงานด้านวินาศกรรม
แรงบันดาลใจของปฏิบัติการทั้งหมดมาจากความสำเร็จกรณีนำอดีตคอมมานโดอัฟกันหลบตอลิบานเข้าสนามบิน
ภารกิจขั้นประเดิมของ “คณะทำงานสับปะรด - Task Force Pineapple” เป็นผลงานการประสานความร่วมมือกับฝ่ายต่างๆ เพื่อเปิดทางแก่อดีตคอมมานโดอัฟกันที่เคยร่วมงานกับทหารยูเอส แต่ยังไม่ได้รับอนุมัติวีซ่าลี้ภัย (SIV) ให้สามารถผ่านเข้าสู่พื้นที่ของสนามบิน
อดีตคอมมานโดอัฟกันนายนี้เป็นผู้ที่ทหารสหรัฐฯ ต่างทราบดีถึงคุณูปการมหาศาลที่เขาได้ทำให้แก่อัฟกานิสถานและกองทัพสหรัฐฯ ตลอดตั้งแต่ปี 2010-2021 ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนภารกิจร่วมกับหลายหลากหน่วยรบพิเศษอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ ที่เรียกกันทั่วไปว่า หน่วยซีล (SEAL*) ระดับ 1 ทีม 6 แหล่งข่าวบอกเอบีซีนิวส์อย่างนั้น แต่ที่สำคัญคือ การดำเนินงานความเสี่ยงสูงดังกล่าวส่งผลให้อดีตคอมมานโดรายนี้ตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง ตอลิบานส่งเอสเอ็มเอสขู่ฆ่านับครั้งไม่ถ้วน และที่ผ่านมาก็ต้องหลบหนีการถูกไล่ล่าเด็ดหัวหลายครั้ง
(* หน่วย SEAL รับผิดชอบภารกิจโหดหินพิเศษทั้งปวง เช่่น การต่อต้านการก่อการร้าย การชิงตัวประกัน การลาดตระเวนพิเศษ และการปฏิบัติภารกิจปะทะตรงกับเป้าหมาย การปะทะระยะใกล้ หรือปฏิบัติการรุกขนาดเล็ก ซึ่งมักจะปะทะกับเป้าหมายที่มีค่าสูง เช่น พวกแกนนำของตอลิบาน)
ในค่ำคืนของวันปฏิบัติการ 15 สิงหาคม ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุการณ์ตึงเครียด พ.ท.มานน์ทำการประสาน 5 ฝ่าย กล่าวคือ เขาประสานความร่วมมือสร้างคณะทำงานเฉพาะกิจ ประกอบด้วยทหารกรีนเบเรต์รายหนึ่ง เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองรายหนึ่ง ทีมของอดีตเจ้าหน้าที่ให้ความช่วยเหลือชาวอัฟกัน และอีกรายหนึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานให้พรรครีพับลิกันฟลอริดา และทำงานให้ ส.ส.ไมเคิล วอลซ์ กรีนเบเรต์รายแรกที่เข้าสู่สภาคองเกรส คณะเฉพาะกิจเข้าไปขอความสนับสนุนจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันประจำกรุงคาบูลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้านในสนามบิน
ในค่ำคืนเดียวกัน หลังจากที่อดีตคอมมานโดรายนี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงฝ่าฝูงชนหลายพันชีวิตที่เบียดเสียดแน่นเอี้ยดตลอดเส้นทางไปยังประตูทางเข้าสนามบิน
เขาก็สามารถเข้าใกล้จุดควบคุมทางเข้าสนามบินซึ่งประจำการโดยทหารนาวิกโยธินสหรัฐฯ ขณะรอทหารสหรัฐฯ ออกมารับ เขาถูกนักข่าวเอบีซีนิวส์ดักสัมภาษณ์ถึงเหตุโกลาหลซึ่งมีคนตายเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เขาเล่าว่าเหตุการณ์อยู่ห่างจากเขาแค่ฟุตเดียว จึงได้เห็นประชาชน 2 รายถูกทำร้ายร่างกายจนคว่ำคาพื้นและถูกสังหาร (แน่นอนว่าอดีตคอมมานโดที่อยู่ระหว่างหลบหนีตอลิบาน ย่อมจะต้องดูเหตุการณ์เฉยๆ)
เมื่อด้านในสนามบินทราบว่าคอมมานโดรายนี้อยู่ใกล้จุดควบคุมทางเข้าแล้ว เจ้าหน้าที่สถานทูตซึ่งตกลงร่วมมือคณะเฉพาะกิจ เป็นผู้ออกไปประสานกับทีมนาวิกโยธินที่ควบคุมทางเข้าและชี้ตัวผู้ที่พวกเขารอให้ความช่วยเหลือ
ในท่ามกลางอันตรายและบรรยากาศตึงเครียดขั้นสุด ซึ่งมีฝูงชนด้านหน้าจำนวนมหาศาล และมีนักรบตอลิบานเดินปะปนอยู่ด้วย โดยจะยิงขึ้นฟ้าเป็นระยะๆ ด้วยปืนอาก้า (ปืนไรเฟิลเอเค-47 ปืนไรเฟิลจู่โจมในตระกูลคาลาชนิคอฟ ที่เริ่มผลิตกันในยุคสหภาพโซเวียต) หนุ่มคอมมานโดถูกดึงตัวเข้าสู่พื้นที่ความปลอดภัยของสหรัฐฯ ได้สำเร็จ แต่ในเวลาเดียวกัน เพื่อความแน่ใจว่าบรรดาผู้ที่เข้ามาหาเขานั้น ทราบว่าเขาคือคนที่ทีมของพ.ท.มานน์ รอที่จะช่วยเหลือ เขาจึงตะโกนพาสเวิร์ดเปิดเผยตัวตนว่า “ไพน์แอปเปิล!” ดังกึกก้อง แหล่งข่าวหลายรายเล่าแก่เอบีซีนิวส์ และบอกว่าพวกทีมถึงกับต้องเปลี่ยนพาสเวิร์ดกันทีเดียว
พ.ท.มานน์ เล่าว่า หลังความสำเร็จในภารกิจแรก กลุ่มทหารสหรัฐฯ ตัดสินใจร่วมกันว่าจะเดินหน้าช่วยนำครอบครัวของสหายคอมมานโด ตลอดจนคอมมานโดรายอื่นๆ และเพื่อนร่วมภารกิจกลุ่มอื่นๆ โดยเฉพาะ กลุ่มล่าม รวมหลายร้อยคนที่ต้องคอยหลบหนีการล่าสังหารจากตอลิบาน ให้ได้เข้าสู่สนามบินและเดินทางลี้ภัยออกนอกอัฟกานิสถาน
ปฏิบัติการคุ้มกันพันธมิตร (Operation Allies Refuge) จึงดำเนินกันอย่างมุ่งมั่นต่อเนื่องทุกคืนจดจนวันอังคารที่ 24 สิงหาคม โดยที่เครือข่ายของทีมงานทหารผ่านศึกสามารถนำพาคนอัฟกันให้สามารถหลบกองกำลังตอลิบานที่ตั้งจุดสกัดรอบสนามบินและกระจายไปทั่วกรุง และเข้าพื้นที่สนามบินได้สำเร็จราว 130 ราย
ในจำนวนนี้เป็นภรรยาและบุตร 4 คนของหนุ่มคอมมานโดคนสำคัญ รวมอยู่ด้วย โดยกลุ่มเพื่อนอเมริกันและสหายร่วมต่อสู้ตอลิบานได้ช่วยกันนำพาเข้าสู่ด้านในสนามบิน ภายใต้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกันคนเดิม เมื่อวันอังคารที่ 17 สิงหาคม
ด้วยความสำเร็จตลอด 10 วัน (15-24 สิงหาคม) ที่ทยอยพาสหายอัฟกันทั้งคอมมานโดและทั้งล่ามกับครอบครัวให้เข้าสู่ความคุ้มครองปกป้องในพื้นที่สนามบินได้อย่างเรียบร้อย การปฏิบัติภารกิจจึงถูกยกระดับมาเป็นปฏิบัติการขั้นสุดยอด OPE ในค่ำคืนที่ 25 สิงหาคม
ปฏิบัติการระทึกขวัญ บีบคั้นหัวใจให้หยุดเต้น
ทีมงานได้ริเริ่มปฏิบัติการภาคพื้นดินเคลื่อนย้ายคนอัฟกันหลายร้อยรายแบบซีรีส์ใหญ่หนึ่งคืนจบ โดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารสหรัฐฯ ด้านในสนามบินควบคู่กับการประสานงานของฝ่ายต่างๆ มากกว่า 50 รายบนห้องแชต เพื่อจะนำพาบุคคลต่างๆ และครอบครัวให้เคลื่อนย้ายกันหลายสิบระลอกโดยแฝงความมืด หลบหลีกพวกตอลิบานเข้าสนามบิน ภายใต้ปฏิบัติการที่ขนานนามกันว่า Operation Pineapple Express นั่นเอง
พ.ท.มานน์ บอกว่าปฏิบัติการนี้ดำเนินอยู่ในค่ำคืนที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์ระทึกใจแทบจะตลอดเวลา ทัดเทียมกับภาพยนตร์สายลับบู๊สะบั้นระทึกขวัญ เจสัน บอร์น (Jason Bourne) ซึ่งทำผู้ชมตื่นเต้นทุก 10 นาที
มากมายของบรรดากลุ่มย่อยๆ ชาวอัฟกันต้องเผชิญกับทีมลาดตระเวนของนักรบตอลิบานที่เดินตรวจการณ์ไปตามท้องถนน หลายกลุ่มเล่าภายหลังว่าถูกพวกตอลิบานลากตัวไปทุบตีแค่พอหนำใจโดยไม่มีนักรบรายใดใส่ใจจะเรียกตรวจดูบัตรประชาชน ซึ่งอาจจะทำให้พวกตอลิบานทราบว่าที่แท้แล้วพวกเขาคือมือปฏิบัติการที่เคยสังหารผู้นำตอลิบานมาตลอดยี่สิบปี
แต่ละรายในกลุ่มย่อยเหล่านี้ล้วนแต่มีวีซ่าลี้ภัยเข้าสหรัฐฯ มิเช่นนั้นก็เป็นกรณีที่รอให้ได้รับอนุมัติวีซ่าลี้ภัย กับกรณีที่เพิ่งยื่นคำร้องขอวีซ่าลี้ภัยซึ่งเป็นความช่วยเหลือดำเนินการให้โดยคณะทำงานสับปะรด Pineapple ชาวอัฟกันพันธมิตรเก่าแก่ของทหารสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์แก่เอบีซีนิวส์
ความพยายามครั้งมหึมานี้จะไม่สำเร็จได้เลย ถ้าปราศจากเหล่าฮีโร่อย่างไม่เป็นทางการภายในสนามบิน พวกเขายอมฝ่าฝืนคำสั่งที่ไม่ให้ออกไปช่วยเหลือเกินกว่าขอบเขตพื้นที่สนามบิน โดยพวกเขาคือผู้ที่เดินย่ำไปที่คลองน้ำเสีย และช่วยดึงผู้ซึ่งอยู่ในกลุ่มหลบหนีตอลิบาน ให้สามารถก้าวขึ้นจากคลองน้ำเสีย พ.ท.มานน์ กล่าว
ทั้งนี้ ยังมีอีกหนึ่งภารกิจความช่วยเหลือที่สำคัญยิ่ง ทหารสหรัฐฯ ซึ่งสวมชุดเครื่องแบบเห็นได้ทันทีว่าเป็นฝ่ายตรงข้ามกับพวกตอลิบาน จะไม่สามารถเดินออกไปรับคนอัฟกันที่ดั้นด้นหลบหลีกนักรบตอลิบานมาสู่พื้นที่ของสนามบิน ทหารยูเอสเหล่านี้จึงช่วยด้วยเฝ้าสังเกตการณ์และระวังภัยจากด้านบนกำแพงกั้นเขตท่าอากาศยาน พร้อมกับรอสัญญาณแจ้งจากทีมปฏิบัติการภาคพื้นดิน Pineapple Express ได้แก่ บรรดา “ผู้ควบคุมการเคลื่อนย้าย” ซึ่งนำโดยอดีตกรีนเบเรต์ ร.อ.แซค ลอยส์ ซึ่งในทีมปฏิบัติการเรียกเขาว่า “วิศวกร” แห่งเส้นทางหลบหนี
กลุ่มย่อยชาวอัฟกันซึ่งมีชื่อรหัสลับว่า “ผู้โดยสาร” จะได้รับการนำทางโดยทีม “คนต้อนฝูงแกะ” ผ่านการสื่อสารทางแอปพลิเคชัน ทั้งนี้ คนต้อนฝูงแกะส่วนใหญ่คืออดีตกองกำลังปฏิบัติการพิเศษแห่งสหรัฐฯ และสหายซีไอเอ กับผู้บัญชาการ เอบีซีนิวส์รายงานโดยระบุว่าได้เห็นข้อความการสื่อสารภายในห้องแชต
โครงสร้างรองรับปฏิบัติการ Pineapple Express นับว่าน่าทึ่งอย่างยิ่ง มีวิศวกรแห่งเส้นทางเพียงคนเดียว มีผู้ควบคุมการเคลื่อนย้าย 2-3 คน และมีผู้ทำหน้าที่รวบรวมข่าวกรองอีกจำนวนหนึ่ง
ข่าวกรองซึ่งเป็นข้อมูลสดเรียลไทม์ทั้งปวงจะแชร์รวมไว้ในห้องแชตที่ต้องใช้โค้ดผ่านเข้าไป
พร้อมกันนั้นในห้องแชตยังมีข้อมูลนำทางผู้โดยสาร ซึ่งแสดงแผนที่จีพีเอสปักหมุดให้เห็นจุดช่วยเหลือตามรายทางแห่งการเคลื่อนตัว ทั้งจุดต่างๆ ที่ต้องเข้าไปหลบในเงามืด และจุดที่ต้องเข้าที่หลบซ่อน พร้อมกันนี้ยังมีข้อมูลการแจ้งให้รวมตัวกันไปพบกับผู้ควบคุมการเคลื่อนย้ายซึ่งแสดงตัวด้วยแสงเคมีสีเขียว เอบีซีรายงานตามที่ได้เห็นในห้องแชต
เมื่อรวมตัวกัน ผู้โดยสารแต่ละรายจะยืนยันตัวโดยชูโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีกราฟิกรูปสับปะรดสีเหลืองปรากฏบนพื้นชมพู
วิกฤตใหญ่อุบัติขึ้น ณ เวลาประมาณ 20.00 น. ของวันพุธที่ 25 สิงหาคม บรรดาคนต้อนฝูงแกะแต่ละรายทยอยกันแจ้งในห้องแชตว่า กลุ่มผู้โดยสารของพวกเขาซึ่งทำการแฝงตัวอยู่ในความมืดได้อย่างแนบเนียนและกำลังรุดหน้าสู่จุดรวมตัวต่างๆ นั้น จู่ๆ การติดต่อทั้งปวงเกิดจะดับไปดื้อๆ โดยที่คนต้อนฝูงแกะไม่สามารถแม้แต่จะติดต่อเข้าไปยังโทรศัพท์มือถือของผู้โดยสารได้
“การสื่อสารกับหลายกลุ่มของเราหายไปครับ” เขียนแจ้งในห้องแชตโดยเจสัน เรดแมน อดีตนักรบ SEAL ผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสในการรบ และภายหลังเป็นนักเขียนระดับเบสท์เซลเลอร์ ทั้งนี้ เรดแมนทำหน้าที่คนต้อนฝูงแกะในการนำพาชาวอัฟกันที่เขาเคยทำงานด้วย
อุปสรรคที่ผุดขึ้นอย่างไม่คาดคิด ทำให้ฝ่ายต่างๆ เร่งคิดหาสาเหตุและทางแก้ปัญหา บางคนคาดว่าตอลิบานก่อวินาศกรรมที่กระทบต่อระบบสื่อสาร แต่ก็มีกรีนเบเรต์นายหนึ่งในทีม OPE เขียนว่า ทหารสหรัฐฯ ทำระบบรบกวนโทรศัพท์มือถือเพื่อป้องกันการวางระเบิดที่ประตูแอ้บบีหนึ่งในสามทางเข้าสนามบินฮามิด การ์ไซ
ภายในหนึ่งชั่วโมงต่อมา ก็กู้ระบบสื่อสารได้เป็นส่วนใหญ่ จึงสามารถติดต่อกับบรรดาผู้โดยสาร แล้วแต่ละกลุ่มทำการเคลื่อนย้ายกันต่อภายใต้แรงกดดันที่จะต้องทำเวลาให้ทันก่อนพระอาทิตย์ขึ้นในกรุงคาบูล
“ตลอดคืนนั้นเต็มไปด้วยความผันผวนเดี๋ยวดีสุดๆ เดี๋ยวคับขันจนตรอก ผู้โดยสารแต่ละคนล้วนแต่หวาดหวั่นอยู่ในสภาพแวดล้อมซึ่งสับสน หลายคนใกล้จะสิ้นเรี่ยวแรง ผมพยายามประคองสถานการณ์โดยคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา” พ.ท.เรดแมนน์ อดีต SEAL กล่าวกับเอบีซีนิวส์
ชาวอัฟกันทยอยกันมาถึงบริเวณใกล้ประตูแอ้บบีเกต และเดินลุยข้ามคลองน้ำเสียตรงไปยังทหารสหรัฐฯ ซึ่งสวมแว่นกันแดดสีแดงบ่งบอกตัวตน แล้วชูโทรศัพท์มือถือให้ทหารได้เห็นภาพสับปะรด ทหารก็ช่วยดึงพวกเขาขึ้นสู่ตลิ่งริมคลอง และพาให้หลบเข้าด้านในของสนามบิน ปลอดภัยกันทุกคน
ร.อ.ลอยส์ ผู้เป็นวิศวกรของเส้นทาง ยืนยันกับเอบีซีนิวส์ว่า ผู้ปฏิบัติการ OPE ได้บรรลุความสำเร็จในภารกิจแห่งประวัติศาสตร์ได้อย่างแท้จริง โดยสามารถอพยพชาวอัฟกันหลายร้อยรายตลอดสิบกว่าวัน
“นี่เป็นผลงานที่น่าทึ่งสำหรับองค์กรที่ใช้เวลารวมตัวกันแค่ไม่กี่วันก่อนจะเริ่มปฏิบัติการ โดยที่ว่าสมาชิกส่วนใหญ่ไม่เคยพบปะตัวกันมาก่อน” ร.อ.ลอยส์ กล่าวและบอกว่าเขาได้วางระบบเคลื่อนย้ายครอบครัวอัฟกันแบบที่เน้นให้ช้าแต่ปลอดภัยโดยอาศัยความมืดช่วยกำบัง และมีการสร้างจุดหลบหลีกในเงามืด กับจุดซ่อนตัวต่างๆ ภายในแต่ละพื้นที่เสี่ยงสูงทั้งปวง
ดังนั้น ตลอดเส้นทางต่างๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้ จึงเต็มไปด้วยคำสั่งจากคนต้อนฝูงแกะว่าให้คอยหลบหลีกด่านตรวจตอลิบานและกลุ่มเดินลาดตระเวนตามท้องถนนตรงช่วงนั้นช่วงนี้ กลุ่มผู้โดยสารจะต้องใจนิ่ง กล้าหาญ และอดทนกับความเครียดเพื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของคนต้อนฝูงแกะที่คอยบอกเมื่อถึงจุดปักหมุดที่ต้องแว่บไปหลบอยู่ในเงามืด หรือจุดที่ต้องรีบซุกซ่อนตัวจนกว่านักรบตอลิบานจะเดินลาดตระเวนผ่านพ้นไป
สภาพการณ์เหล่านี้แม้จะไม่ใช่ว่าจะพลาดกันง่ายๆ เพราะมีการสร้างระบบช่วยเหลือไว้ตลอดเส้นทาง แต่ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นอะไรที่พลาดไม่ได้เด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ ความรู้สึกของทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มผู้โดยสาร และทีมคนต้อนฝูงแกะจึงตกอยู่ในภาวะระทึกขวัญทุกๆ 10 นาทีพอเรียกได้
“ผมได้มีส่วนอยู่ในภารกิจของหน่วยรบพิเศษที่ยากจะบรรลุได้มานับไม่ถ้วน แต่ผมบอกเลยว่าผมไม่เคยมีส่วนร่วมอยู่ในอะไรที่สำเร็จได้อย่างเหลือเชื่อมากกว่านี้” พ.ต.จิม แกนท์ ทหารกรีนเบเรต์เกษียณอายุให้สัมภาษณ์แก่เอบีซีนิวส์ พร้อมยืนยันถึงคุณภาพคับแก้วของทีม Pineapple Express ว่า
“ความกล้าหาญและความมุ่งมั่นของพี่น้องชายหญิงในชุมชนคนปฏิบัติงาน Pineapple นั้นยิ่งใหญ่มหาศาล”
ด้าน แดน โอเช อดีตผู้บัญชาการหน่วย SEAL เกษียณอายุ เล่าถึงความสำเร็จในการนำทางแก่กลุ่มผู้โดยสารของเขา ซึ่งประกอบด้วยอดีตทหารอเมริกันนายหนึ่งพร้อมคุณพ่อและพี่ชายชาวอัฟกันอยู่ในกลุ่มย่อย 3 ชีวิต โดยพากันเดินคืบหน้าขึ้นไปทีละจุดนานเป็นหลายชั่วโมง ทั้งสามคอยหลบพวกตอลิบานสารพัดด่านตรวจและสารพันกลุ่มเดินลาดตระเวน ตามการแนะนำของคนต้อนฝูงแกะอย่างเคร่งครัดตลอดเส้นทาง
“เขาไม่ยอมทิ้งพ่อและพี่ชาย แม้การตัดสินใจอย่างนั้นอาจทำให้เขาต้องตายอยู่ในอัฟกานิสถาน” โอเช อดีตที่ปรึกษาการต่อต้านการก่อการร้ายในอัฟกานิสถานบอกเอบีซีนิวส์ และกล่าวด้วยว่า ชาวอัฟกันมากมายมีวิสัยทัศน์ต่อคุณค่าแห่งประชาธิปไตยเข้มแข็งกว่าคนอเมริกัน
เอบีซีนิวส์ได้ทำข่าว OPE เพียงเจ้าเดียว Exclusive สุดๆ เพราะมีนักวิเคราะห์ข่าวเอบีซีเป็นผู้สนับสนุนภารกิจ
ปฏิบัติการในช่วงกว่าสองสัปดาห์แห่งการนำพาชาวอัฟกันที่เข้าเกณฑ์ผู้ลี้ภัยอันตรายถึงชีวิตให้พ้นเงื้อมมือของกองกำลังตอลิบานนั้น เกิดขึ้นด้วยฝีมือของหลายทีม โดยมีส่วนที่เป็นข่าวบนสื่อมวลชนอเมริกันมีอย่างน้อย 3 ทีม คือ ปฏิบัติการของกลุ่ม Task Force Pineapple และปฏิบัติการของกลุ่ม Task Force Dunkirk ซึ่งทั้งคู่ได้เปิดเผยเรื่องราวให้แก่สถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ กับปฏิบัติการช่วยเหลือด้วยเฮลิคอปเตอร์ที่มีสำนักข่าวเอพีนำมารายงาน
สำหรับสองปฏิบัติการที่รายงานโดยเอบีซีนิวส์ ได้รับความสนับสนุนอย่างมากมายจากอดีตนาวิกโยธินสหรัฐฯ ไมเคิล มัลรอย ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งรองผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ด้านนโยบายตะวันออกกลาง ระหว่างปี 2017-2019 ในรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ โดยปัจจุบันเป็นนักวิเคราะห์ข่าวให้แก่สถานีโทรทัศน์เอบีซี พร้อมกับภารกิจอื่นจำนวนมาก เช่น กรรมการองค์กร Grassroots Reconciliation Group องค์การไม่แสวงกำไรด้านฟื้นฟูทหารผ่านศึกชาวอเมริกัน
มัลรอยแถลงว่า ชาวอัฟกันที่ร่วมงานกับทหารสหรัฐฯ ไม่เคยลังเลที่จะทุ่มเทกับงานปราบปรามจับกุมผู้ก่อการร้าย
“ตัวผมและเพื่อนๆ มากมายมากันที่อัฟกานิสถานในวันนี้ เพราะชาวอัฟกันเคยร่วมต่อสู้กับสหรัฐฯ ด้วยความกล้าหาญ” มัลรอยกล่าวต่อเอบีซีนิวส์เมื่อ 27 สิงหาคม และบอกด้วยว่า เราเป็นหนี้พวกเขาและจะดำเนินการสุดความสามารถในอันที่จะพาพวกเขาให้พ้นจากพวกตอลิบาน ซึ่งภารกิจนี้เป็นเกียรติยศที่จะต้องทำเพื่อรักษาคำมั่นที่จะไม่ทอดทิ้งพวกเขาให้เผชิญอันตรายจากการแก้แค้นจากตอลิบาน
โดย รัศมี มีเรื่องเล่า
(ที่มา : เอบีซีนิวส์ coffeeordie.com วิกิพีเดีย)