เพนตากอนยืนยันในวันศุกร์ (27 ส.ค.) ว่าสหรัฐฯ ยังคงมีแผนยุติภารกิจในอัฟกานิสถานสิ้นเดือนนี้ ในขณะที่ปฏิบัติการอพยพพลเรือนสหรัฐฯ และพันธมิตรเข้าสู่ระยะท้ายๆ ท่ามกลางสถานการณ์ล่อแหลม หลังเกิดเหตุระเบิดนองเลือดใกล้ประตูสนามบินคาบูล ขณะที่ยอดพลเรือนเสียชีวิตล่าสุดขยับขึ้นเป็นอย่างน้อย 170 ราย
สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างกระทรวงสาธารณสุขอัฟกานิสถานว่า มีพลเรือนเสียชีวิตเพิ่มเป็นอย่างน้อย 170 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 200 คน ในเหตุระเบิดฆ่าตัวตายโจมตีเมื่อวันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) นอกเหนือจากทหารสหรัฐฯ 13 นายที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุยังไม่ทราบว่ามีพลเรือนสหรัฐฯ เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บในเหตุระเบิดครั้งนี้หรือไม่
แม้มีผู้คนมารวมตัวกันที่สนามบินลดลงอย่างมากในวันศุกร์ (27 ส.ค.) แต่แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปฏิบัติการ ณ ท่าอากาศยานกรุงคาบูล เปิดเผยกับซีเอ็นเอ็นว่าภารกิจของสหรัฐฯ ยังคงมุุ่งเน้นพาบุคคลที่มีคำร้องพิเศษไปยังสนามบิน แต่แหล่งข่าวเน้นว่าพวกเจ้าหน้าที่ไม่มั่นใจจะสามารถพาไปยังท่าอากาศยานได้มากน้อยแค่ไหน เนื่องจากมันต้องพึ่งพิงความร่วมมือจากตอลิบานเป็นอย่างมาก
เพนตากอนระบุในวันศุกร์ (27 ส.ค.) เช่นกันว่า สหรัฐฯ ยังคงมีแผนยุติภารกิจนี้ในช่วงสิ้นเดือน
"เราใกล้แล้ว เราใกล้แล้ว คุณกำลังเห็นเราเริ่มกำลังเคลื่อนไหวถอนทหารของเราและยุทโธปกรณ์บางอย่างตามความเหมาะสม" จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ กล่าวระหว่างแถลงสรุป พร้อมระบุว่า "พวกเขาต้องการสำรองไว้ซึ่งแสนยานุภาพสูงสุดและนานที่สุดเท่าที่เราสามารถทำได้ ทั้งในแง่ของการรักษาความปลอดภัยและศักยภาพในการอพยพผู้คน"
ในเวลาต่อมาในวันเดียวกัน เคอร์บีออกมาปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่าตอลิบานเข้าควบคุมสนามบินคาบูล ระบุเป็น "ข่าวเท็จ" โดยบอกว่า "พวกเขาไม่ได้ดูแลประตูไหนๆ พวกเขาไม่ได้ดูแลปฏฺิบัติการใดๆ ของสนามบิน มันยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารสหรัฐฯ"
เพนตากอนชี้แจงว่ามีเหตุระเบิดเพียงลูกเดียวที่ประตูแอบบีย์ ของสนามบินฮามิด คาร์ไซ เมื่อวันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) หลังจากในถ้อยแถลงก่อนหน้านี้ ระบุว่ามีเหตุระเบิดลูกที่ 2 เกิดขึ้นบริเวณด้านนอกของโรงแรมบารอนด้วย
ผู้สื่อข่าวที่ทำงานให้ซีเอ็นเอ็นรายงานมีคนจำนวนเล็กน้อยที่ไปรวมตัวกันที่สนามบินคาบูลในวันศุกร์ (27 ส.ค.) พร้อมระบุว่า ผู้คนไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่ประตูหลัก และเกือบ 450 เมตรก่อนถึงประตูหลัก พวกตอลิบานได้นำรถยนต์มาจอดขวางทางไว้
ส่วนที่อื่นๆ ภายในตัวเมือง สถานการณ์เป็นไปอย่างสงบ พบเห็นการจราจรเบาบางกว่าช่วงหลายวันที่ผ่านมา ศูนย์กลางด้านการค้าหลักต่างๆ ยังคงปิดทำการหรือไม่ก็เปิดแค่บางส่วน อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวระบุว่าบรรยายกาศลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เพราะว่าวันศุกร์เป็นวันเริ่มช่วงสุดสัปดาห์ของอัฟกานิสถาน
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ระบุว่านอกเหนือจาก 13 นายที่เสียชีวิตนั้น ยังมีทหารสหรัฐฯ อีก 18 รายได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย
กลุ่มรัฐอิสลาม (Islamic State) ในภูมิภาคโคราซาน หรือที่เรียกว่า ISIS-K ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุโจมตี แต่ไม่ได้ให้หลักฐานใดฯ สนับสนุนคำกล่าวอ้าง อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหนาที่สหรัฐฯ เชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่นักรบกลุ่มนี้จะอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีอันโหดร้ายดังกล่าว
ไบเดน ประกาศที่ทำเนียบขาวว่าความพยายามอพยพจะไม่หยุดลงสืบเนื่องจากเหตุโจมตี และเขาสั่งให้บรรดาผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ คิดแผนโจมตีเล่นงานทรัพย์สิน สิ่งปลูกสร้างและพวกผู้นำของ ISIS-K "เราจะไม่ให้อภัย เราจะไม่ลืม เราจะไล่ลาพวกแกและพวกแกต้องชดใช้"
ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันพฤหัสบดี (26 ส.ค.) จนถึงเช้ามืดวันศุกร์ (27 ส.ค.) ทหารสหรัฐฯ อพยพผู้คนเพิ่มเติม 8,500 ราย และเที่ยวบินพันธมิตรอพยพผู้คนออกมาราวๆ 4,000 คน อย่างไรก็ตาม ไม่เป็นที่ชัดเจนว่าหลังจากเกิดเหตุโจมตีแล้ว มีผู้ได้รับการอพยออกมามากน้อยแค่ไหน
ตัวเลขดังกล่าวส่งผลให้ยอดรวมผูุ้คนที่ได้รับการอพยพผ่านเที่ยวบินทหารสหรัฐฯ และพันธมิตรเพิ่มเป็น 105,000 คนนับตั้งแต่วันที่ 14 สิงหาคม และ 110,600 คนนับตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกรกฎาคม จากข้อมูลของทำเนียบขาว
(ซีเอ็นเอ็น)