จีนออกมาเตือนบรรดาผู้นำของกลุ่ม จี7 กันตรงๆ เมื่อวันอาทิตย์ (13 มิ.ย.) ว่า วันเวลาซึ่งพวกประเทศกลุ่ม “เล็กๆ” กลุ่มหนึ่ง สามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้นั้น มันผ่านไปตั้งนานนมแล้ว คำพูดเช่นนี้เป็นการซัดกลับเอาคืนบรรดาชาติประชาธิปไตยตะวันตกผู้มั่งคั่งของโลกกลุ่มนี้ ซึ่งพยายามหาทางให้มีจุดยืนที่เป็นเอกภาพกันเพื่อมาต่อกรกับปักกิ่ง
“วันเวลาซึ่งการตัดสินใจต่างๆ ในระดับโลกถูกบงการโดยประเทศกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งนั้น มันผ่านไปตั้งนานแล้ว” ผู้ทำหน้าที่โฆษกให้แก่สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงลอนดอนแถลง
“เรานั้นเชื่อเสมอมาว่า ประเทศต่างๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก, แข็งแรงหรืออ่อนแอ, ยากจนหรือร่ำรวย, ล้วนแล้วแต่เสมอภาคกัน และดังนั้นกิจการของโลกจึงควรที่จะจัดการโดยผ่านการปรึกษาหารือของประเทศต่างๆ ทั้งหมด”
การที่เวลานี้จีนกลับมาผงาดเป็นมหาอำนาจชั้นนำรายหนึ่งของโลก ได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในเหตุการณทางภูมิรัฐศาสตร์ที่สำคัญที่สุดในช่วงระยะหลังๆ มานี้ เฉกเช่นเดียวกับการล่มสลายของสหภาพโซเวียตเมื่อปี 1991 ซึ่งทำให้สงครามเย็นยุติลง
กลุ่ม จี7 ซึ่งบรรดาผู้นำไปประชุมหารือกันอยู่ในเทศมณฑลคอร์นวอลล์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเขตปกครองอังกฤษ, สหราชอาณาจักร ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังเสาะแสวงหาทางในการตอบโต้อย่างคล้องจองไปในทางเดียวกัน ต่อความแข็งกร้าวยืนกรานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายหลังจีนประสบความสำเร็จในการยกระดับทั้งทางเศรษฐกิจและทางทหารอย่างน่าตื่นใจในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมา
เหล่าผู้นำของกลุ่มนี้ ที่ประกอบไปด้วย สหรัฐฯ, แคนาดา, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร, อิตาลี, และญี่ปุ่น มีความต้องการที่จะใช้การพบปะชุมนุมกันของพวกเขาที่รีสอร์ตริมทะเลในอ่าวคาร์บิส เบย์ ของอังกฤษคราวนี้ เพื่อแสดงอวดโอ่ให้โลกมองเห็นว่า ชาติประชาธิปไตยตะวันตกเหล่านี้สามารถเสนอทางเลือก เพื่อแข่งขันกับอิทธิพลบารมีซึ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ของจีน
จัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีของแคนาดา รับหน้าที่เป็นประธานในการอภิปรายถกเถียงกันของเหล่าผู้นำ จี7 ว่าด้วยเรื่องจีน เมื่อวันเสาร์ (12) ที่ผ่านมา และเขาเรียกร้องให้บรรดาผู้นำใช้แบบแผนวิธีที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการตอบโต้ความท้าทายซึ่งมาจากจีน แหล่งข่าวรายหนึ่งของรอยเตอร์ระบุ
ขณะที่ฝ่ายปักกิ่งก็ตอบโต้ซัดกลับครั้งแล้วครั้งเล่าต่อสิ่งที่จีนมองว่าเป็นความพยายามของมหาอำนาจตะวันตกที่จะปิดล้อมจีน และบอกด้วยว่า มหาอำนาจใหญ่ๆ เหล่านี้จำนวนมากยังคงยึดติดแน่นอยู่กับความคิดจิตใจแบบจักรวรรดินิยมนักล่าอาณานิยมที่ล้าสมัย ภายหลังจากที่ประเทศเหล่านี้ได้เคยดูหมิ่นเหยียดหยามจีนมานานปี
(ที่มา: รอยเตอร์)