xs
xsm
sm
md
lg

พม่า...กับความเจ็บปวดอันล่าช้า!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Hishammuddin Hussein รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมาเลเซีย
ช่วงระหว่างนี้...ยังไม่ถึงกับมีอะไรขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวมากมายสักเท่าไหร่ สำหรับบ้านอื่น เมืองอื่น ประเทศอื่นๆ ในโลกนี้ด้วยเหตุนี้...เลยน่าจะลองแวะกลับมาแถบๆ “บ้านใกล้-เรือนเคียง” อย่างประเทศเมียนมา หรือพม่า ไว้สักหน่อย เพราะการไล่บด ไล่บี้ ไล่พร่าผลาญสังหารระหว่างบรรดาชาวพม่าด้วยกันเอง แม้แต่พวกถูกเรียกขานในนาม “ชนกลุ่มน้อย” ก็แล้วแต่ นับวัน...มันน่าจะเป็นเรื่อง เป็นราว เอาเรื่อง เอาราว ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนบรรดา “ลูกหลง” ต่างๆ อาจกระสานซ่านเซ็นมายังประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่มีพื้นที่ มีแนวพรมแดนติดต่อกับเพื่อนบ้านนี้ชนิดยาวอีเหลนเป๋น หรือกว่าสองพันกิโลเมตร อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...

คือการต่อต้านเผด็จการพม่า หรือการกระทำรัฐประหารเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาฯ ที่ผ่านมา ของบรรดานักประชาธิปไตยในพม่าทั้งหลาย คงต้องยอมรับว่า...เพิ่งอยู่ใน “จุดเริ่มต้น” แม้ว่าจะมีการจัดตั้ง “รัฐบาลเงา” (Myanmar’s National Unity Government) หรือ “กองกำลังอาวุธ” (The People’s Defence Force) ของตนเอง ขึ้นมาแล้วอย่างเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...ช่วงระหว่างนี้คงได้แต่ออกมาพูดจา ว่ากล่าว เรียกร้องโน่น เรียกร้องนี่ หรือด่าโน่น ด่านี่ กันไปตามสภาพ สำหรับบรรดาผู้ที่อยู่ในคณะรัฐบาลทั้งหลาย ส่วนบรรดากองกำลังอาวุธก็คงต้องหนักไปทาง “สวนสนาม” อยู่กับที่ หรือไม่ก็แค่เริ่มต้นฝึกอาวุธ ฝึกการวางระเบิด การก่อวินาศกรรม ฯลฯ ไปตามเรื่องตามราว โอกาสที่จะสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับผู้นำทหารพม่า อย่าง “มิน อ่อง หล่าย” ให้ลายพร้อยไปทั้งเนื้อ ทั้งตัว ยังไม่น่าจะไปไกลได้ถึงขั้นนั้น...

แต่จะอย่างไรก็ตาม...การที่ไม่ว่าจะโดยนักประชาธิปไตย หรือผู้ต่อต้านรัฐประหารในพม่า หรือด้วย “เงื่อนไข-เหตุปัจจัย” อื่นๆ เป็นองค์ประกอบ ได้ทำให้บรรดา “ชนกลุ่มน้อย” ในพม่า ซึ่งเคยผ่อนคลาย เคยบรรลุข้อยุติในเรื่องความขัดแย้งกับพวกทหาร พวกเผด็จการพม่ามาได้ก่อนหน้านี้ เริ่มออกอาการฉุนฉิว กริ้วโกรธ หันมาเผชิญหน้า ปะทะ ขัดแย้ง กับกองทัพพม่าอย่างชนิดเป็นระบบและเป็นกิจการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ อันนี้...ต้องถือว่า เป็นการ “ยกระดับสถานการณ์” ขึ้นไปในอีกจุดหนึ่ง เพราะการเผชิญหน้า การปะทะ ขัดแย้ง ระหว่างกองทัพพม่ากับบรรดากองกำลังชนกลุ่มน้อย หรือชนชาติส่วนน้อย ในทุกวันนี้ ต้องเรียกว่า...ชักบานปลาย ขยายวง ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้แบบเอาเป็น-เอาตายกับกองทัพ “KNU” ของพวกกะเหรี่ยง กองกำลัง “SSA” ของพวกฉานบริเวณแนวพรมแดนประเทศไทย หรือกับกองกำลัง “KIA” ของพวกคะฉิ่นที่อยู่บริเวณแนวพรมแดนด้านประเทศจีน ไปจนถึงกองกำลังของพวกชิน ที่อยู่แถวๆ พรมแดนอินตะระเดีย ฯลฯ โน่นเลย...

แต่การปะทะ ขัดแย้ง ในลักษณะเช่นนี้...ก็คงต้องยอมรับนั่นแหละ เป็นสิ่งที่แทบจะเป็นปกติธรรมดา หรือเป็นสิ่งที่มีมาโดยตลอด จนอาจถือเป็น “การเมืองภายใน” ของพม่ามานานแล้ว และโอกาสที่จะทำให้กองทัพพม่า ซึ่งออกจะแข็งโป๊ก มีกำลังพลมากถึง 400,000 คน สูงเป็นอันดับสองรองจากเวียดนาม ในหมู่ประเทศอาเซียนด้วยกันเอง มีทั้งเครื่องบินรบ เฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ รถถัง ไปจนถึงเรือดำน้ำ ฯลฯ เกิดความระเคือง ระคาย ชนิด “มิน อ่อง หล่าย” ต้องลายแล้ว ลายอีก ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างมาก...อาจก่อให้เกิดความหงุดหงิดรำคาญ จนต้องเปิดฉากถล่มกองกำลังต่างๆ และกลายเป็นตัวสร้าง “ปัญหา” ให้กับบรรดาเพื่อนบ้านตลอดทั่วทุกแนวพรมแดน อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะการทะลักเข้ามาของบรรดาผู้ลี้ภัยในแต่ละระลอก รวมทั้งบรรดา “ลูกหลง” ในลักษณะต่างๆ...

พูดง่ายๆ ว่า...ยังไม่สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง “ดุลอำนาจ” ภายในประเทศพม่าขึ้นมาได้ง่ายๆ แม้จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการตอบโต้ โจมตี ของฝ่ายต่อต้าน หันไปใช้วิธีก่อวินาศกรรม วางระเบิด ก่อกวนในเมืองสำคัญๆ ต่างๆ แทนที่จะ “เอ็งมา-ข้ามุด-เอ็งหยุด-ข้าแหย่” อยู่ในเขตชนบทรอบนอกแบบเดิมๆ แต่นั่นคงไม่ถึงกับช่วยให้เกิดการ “ยกระดับสถานการณ์” ไปถึงขั้นที่สามารถทำให้รัฐบาลเผด็จการพม่า หรือกองทัพพม่า ต้องหันมาปรับท่าที หรือเปลี่ยนท่าที ได้อย่างเป็นงาน เป็นการ ทุกสิ่งทุกอย่างเลยต้องเป็นไปภายใต้ “ความดื้อ” ของบรรดาทหารพม่า ที่พร้อมจะปฏิเสธแรงกด แรงบีบใดๆ ก็ตาม แม้แต่ข้อเรียกร้อง หรือข้อเสนอ ก็แล้วแต่จะเรียก ของบรรดาประเทศอาเซียน 10 ประเทศ ที่มีประเทศอภิมหาอำนาจแห่งเอเชีย อย่างคุณพี่จีนประกาศให้การสนับสนุนไปแล้วก็ตาม...

ฉากสถานการณ์ในประเทศพม่าทุกวันนี้...จึงเป็นไปดังที่รัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย “นายHishammuddin Hussein” สรุปไว้ด้วยถ้อยคำสั้นๆ แต่ออกจะเจ็บปวด รวดร้าวมิใช่น้อย คือออกจะเป็นอะไรที่ “painfully slow” เสียเหลือเกิน เพราะโอกาสที่จะ “เปลี่ยนดุลอำนาจ” ภายในประเทศพม่า หรือภายในการเมืองพม่า แบบสามารถเห็นผลได้แบบฉับพลัน-ทันที ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก “การแทรกแซง” ด้วยพลังอำนาจทางทหารนั่นแหละ ไม่ใช่แค่พลังอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่นอกจากจะเป็นอะไรที่ยืดเยื้อ คาราคาซังแล้ว ยังอาจต้องเจอกับการ “ชักเข้า-ชักออก” ของบรรดาผู้ที่มีผลประโยชน์ต่อทรัพยากรต่างๆ ในประเทศพม่า ชนิดถอนตัวแทบไม่ขึ้น...

แต่ก็อย่างว่า...การแทรกแซงต่อประเทศพม่าโดยเฉพาะในแง่กำลังทหารนั้น ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะด้วย “ภูมิรัฐศาสตร์” ที่สามารถก่อให้เกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบ ต่อบรรดาอภิมหาอำนาจรายใดก็ตามได้เสมอๆ นั้น จึงทำให้ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่ออเมริกา จีน หรืออินตะระเดีย มีแต่ต้อง “ง้างๆ” เอาไว้นั่นแหละเป็นหลัก ไม่อาจทะเล่อทะล่า ทะลุ่มทะลุย จนอาจกลายเป็น “ติดกับดัก” ชนิดมีแต่เจ๊ง...กับ...เจ๊ง อย่างมิอาจปฏิเสธได้ แบบที่อเมริกาเคยเจ๊งมาแล้วในเวียดนาม หรือกระทั่งในสมรภูมิซีเรียคราวล่าสุดก็ตาม เพราะไม่ว่าอภิมหาอำนาจรายใด-รายหนึ่งสามารถมีอิทธิพลเหนือประเทศพม่าจนเกินไป ย่อมต้องก่อให้เกิดผลเสียต่ออภิมหาอำนาจรายอื่นๆ จนมิอาจเอามือซุกหีบ อีกต่อไปได้เลย...

ด้วยลักษณะทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” เช่นนี้นี่เอง...มันเลยเป็นอะไรที่ค่อนข้างสอดคล้อง รองรับกับ “ความดื้อ” ของบรรดาทหารพม่า เผด็จการพม่า จนแทบไม่คิดให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ ต่อแรงกด แรงบีบใดๆ มาโดยตลอด และส่งผลให้บรรดานักประชาธิปไตยในพม่า ตลอดไปจนบรรดาชนชาติส่วนน้อยทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องเป็นผู้แบกรับ “ความเจ็บปวดอันล่าช้า” ไปอีกตราบนานเท่านาน หรืออาจนานไปจนกว่าบรรดา “ดุลอำนาจ” ในระดับโลก เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้โดยชัดเจน จนทำให้ลักษณะทาง “ภูมิรัฐศาสตร์” ดังกล่าว ไม่ถึงกับมีความสำคัญมากมายจนเกินไป!!!

อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้บรรดานักประชาธิปไตยและชนชาติส่วนน้อยในพม่าทั้งหลาย คงต้องกลืนเลือด อมเลือด กันไปอีกนาน รวมทั้งบรรดาประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง หรือประเทศที่มีพรมแดนประชิดติดพันกับพม่าทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นต้องหันไป “อมสากกะเบือ” กันไปเป็นแท่งๆ ด้ามๆ ด้วยเหตุนี้...จึงอาจถือเป็นเรื่องชอบแล้ว เหมาะแล้ว ที่ผู้อำนวยการโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในแถบอำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน (โรงเรียนบ้านท่าตาฝั่ง) ของไทย ท่านเลยต้องผุดไอเดียเก๋ๆ ไก๋ๆ แบบที่เรียกว่า “Baby Bunker” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ คือการหาทางสอนให้เด็กไทย เกิดความชำนาญ เชี่ยวชาญ ในการ “ละเล่น” และการ “หลบภัย” ไปพร้อมๆ กัน ตามแบบฉบับ “ยามระเบิดเราหลบ-ยามสงบเราเล่น” อย่างที่รายงานข่าว “ผู้จัดการ” ได้นำเสนอเอาไว้เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทำไงได้!!!...ในเมื่อกระทั่งระดับบรรดา “ผู้ใหญ่” ในเมืองไทย ต่างหนีไม่พ้นต้องหันไป “รู้รักษาตัวรอด-เป็นยอดดี” มาโดยตลอด...นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น