ประชาชนสร้างประวัติศาสตร์ การทำงานสร้างอนาคต งานคือพลังขั้นพื้นฐาน ขับเคลื่อนความก้าวหน้าของสังคมมนุษย์ ความสุขมิได้ตกลงมาจากฟากฟ้า ทั้งความฝันก็มิได้กลายเป็นความจริงโดยอัตโนมัติ
เพื่อบรรลุเป้าหมายของเรา และเพื่ออนาคตอันสดใส เราจะต้องร่วมมือกับประชาชนอย่างใกล้ชิด ทำในสิ่งที่พวกเขาต้องการเสมอ และทำด้วยความอดทน ซื่อสัตย์ และสร้างสรรค์
บ่อยครั้งเราพูดว่า “การเอาแต่พูดแล้วไม่ทำ ทำร้ายประเทศ ในขณะเดียวกัน การทำงานหนักทำให้ประเทศประสบความสำเร็จ” นี่คือส่วนหนึ่งจากคำปราศรัยของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีนในปัจจุบัน ซึ่งผู้เขียนได้แปลมาจากหนังสือ Xi Jinping the Governance of china ในหัวข้อ Hard Work Makes Dreams Come True
จากข้อความข้างต้น จะเห็นได้ว่าผู้นำจีนได้แสดงให้เห็นอัจฉริยภาพของการเป็นนักปกครองที่เปี่ยมไปด้วยความตั้งใจในการทำงานรับใช้ประเทศ และประชาชน
ดังนั้น จึงไม่เป็นที่กังขาว่าเหตุใดประเทศจีน ภายใต้การนำของสี จิ้นผิง จึงเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วในทุกด้าน
หันมาดูประเทศไทย ซึ่งมีประชากรประมาณ 70 ล้านคน เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรของจีน 1,300 ล้านคนแล้วประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ซึ่งนับว่าน้อยมาก
ประชากรส่วนใหญ่ของไทยนับถือพระพุทธศาสนา และพระสมณโคดมซึ่งเป็นศาสดาได้สอนเกี่ยวกับการพูด และการกระทำว่าจะต้องตรงกัน จะเห็นได้จากพุทธพจน์ที่ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคต พูดอย่างใด ทำได้อย่างนั้น ทำได้อย่างใด ก็พูดได้อย่างนั้น เพราะเหตุที่พูดได้ตามที่ทำ ทำได้ตามที่พูด ฉะนั้นจึงเรียกว่า ตถาคต
แต่นักการเมืองของไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศจะมีพฤติกรรมตรงกันข้ามคือ ไม่ทำตามที่พูด ไม่พูดตามที่ทำ หรือพูดเพียงบางส่วน และที่เป็นเช่นนี้น่าจะเกิดจากเหตุปัจจัยดังต่อไปนี้
1. เมื่อได้ดำรงตำแหน่งผู้นำทางการเมือง ซึ่งมีอำนาจในการให้คุณและให้โทษแก่นักการเมืองในฐานะปัจเจก และแก่พรรคการเมืองในฐานะเป็นองค์กร โดยเฉพาะในฝ่ายเดียวกัน ดังนั้น คำพูดของผู้นำจึงมีอิทธิพลต่อนักการเมือง และพรรคการเมือง ทั้งในแง่บวกและแง่ลบแก่ตนเอง
ด้วยเหตุนี้ เมื่อสิ่งที่ตนเองเคยพูดไว้ว่าจะทำ ถ้าทำตามนั้นแล้วจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับผู้ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนตนเองให้อยู่ในอำนาจ ก็จะไม่ทำหรือทำน้อยกว่าที่พูดไว้ จะเห็นได้ชัดเจนในการปราบการทุจริต คอร์รัปชัน ทุกรัฐบาลได้กำหนดเป็นนโยบายแถลงต่อสภาฯ แต่ในทางปฏิบัติ และไม่ทำอะไรหรือทำพอเป็นพิธีให้เห็นว่าได้ทำแล้ว โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับพรรคพวกของตนเอง
2. ตัวผู้นำเองหรือคนใกล้ชิดแสวงหาประโยชน์ในทางมิชอบ เช่น เรียกร้องผลประโยชน์เพื่อแลกกับการอนุมัติหรืออนุญาตการประกอบธุรกิจกับรัฐ เป็นต้น โดยที่การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมาย แต่ก็ดำเนินการให้โดยไม่คำนึงถึงคำพูดที่เคยพูดไว้
ด้วยเหตุปัจจัย 2 ประการนี้ ผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง และพวกพ้องโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่ประเทศ และประชาชน จึงเป็นผู้พูดอย่างทำอย่างเสมอเหมือนกันทุกคน และผู้ที่มีพฤติกรรมเยี่ยงนี้ ทุกคนจะจบชีวิตการเมืองด้วยการถูกขับไล่ และก่นด่าเข้าทำนองกฎแห่งกรรมที่ว่าสว่างมามืดไป
ดังนั้น ท่านผู้อ่านที่กำลังเบื่อการเมืองอยู่ในขณะนี้ ขอให้ทำใจให้นิ่ง รอกฎแห่งกรรมให้ผล แทนที่จะดิ้นรน และเต้นตามกระแสการเมือง อันเกิดจากความอยากมี อยากเป็นของคนบางคนหรือบางกลุ่ม ซึ่งเห็นแล้วได้แต่ปลงอนิจจัง ทุกอย่างไม่เที่ยงแท้ และพ่ายแพ้ต่อกาลเวลา