ราคาน้ำมันขยับขึ้นมากกว่า 1% ในวันจันทร์ (17 พ.ค.) ยุโรปกำลังกลับมาเปิดเศรษฐกิจ หลังล็อกดาวน์สกัดโควิด-19 มานานหลายเดือน ส่วนวอลล์สตรีทปิดลบ ถูกฉุดจากกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่ทองคำพุ่งแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมกราคม
สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส อินเตอร์มีเดียต หรือไลต์สวีตครูด งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 90 เซนต์ ปิดที่ 66.27 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ด้านเบรนต์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนกรกฎาคม เพิ่มขึ้น 75 เซนต์ ปิดที่ 69.46 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
สหราชอาณาจักรกลับมาเปิดเศรษฐกิจ มอบมาตรการแห่งเสรีภาพบางอย่างแก่ประชาชน 65 ล้านคนของประเทศ หลังจากล็อดดาวน์มานาน 4 เดือน
ด้วยอัตราการฉีดวัคซีนที่รวดเร็ว ฝรั่งเศส และสเปน ได้ผ่อนปรนข้อจำกัดสกัดโควิด-19 เช่นกัน และเมื่อวันเสาร์ (15 พ.ค.) โปรตุเกส กับเนเธอร์แลนด์ ผ่อนปรนข้อจำกัดด้านการเดินทาง
ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก่อความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ทางพลังงาน
ด้านตลาดหุ้นสหรัฐฯในวันจันทร์ (17 พ.ค.) ปิดลบ ตามแรงฉุดของกลุ่มเทคโนโลยี ที่ได้รับผลกระทบหนักหน่วงที่สุดจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ดาวโจนส์ ลดลง 54.34 จุด (0.16 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 34,327.79 จุด เอสแอนด์พี ลดลง 10.56 จุด (0.25 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 4,163.29 จุด แนสแดค ลดลง 50.93 จุด (0.38 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 13,379.05 จุด
หุ้นบริษัทเทคโนโลยีทั้งหลายต่างเคลื่อนไหวในแดนลบ โดย เน็ตฟลิกซ์ และ แอปเปิล ปิดลบราวๆ 0.9% ฉุดตลาดร่วงลงตามกัน
ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อเป็นปัจจัยลบในความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในวันจันทร์ (17 พ.ค.) หลังจากเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลสหรัฐฯรายงานดัชนีราคาเพิ่มขึ้นในเดือนเมษายน ถือเป็นการเพิ่มขึ้นมากสุดเมื่อเทียบปีต่อปีนับตั้งแต่ปี 2008
ส่วนราคาทองคำในวันจันทร์ (17 พ.ค.) พุ่งแรง แตะระดับสูงสุดในรอบ 4 เดือน โดยราคาทองคำตลาดโคเม็กซ์งวดส่งมอบเดือนมิถุนายน เพิ่มขึ้น 29.50 ดอลลาร์ ปิดที่ 1,867.60 ดอลลาร์ต่อออนซ์
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)