(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)
Why Xinjiang is central to US cold war on China
By VIJAY PRASHAD And JIE XIONG
17/04/2021
ขณะที่จีนเข้าฉวยคว้าความริเริ่มทางด้านนวัตกรรมเทคเอาไว้ได้ สหรัฐฯก็ระดมนำเอาพวกอาวุธทางการทูตซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิมนุษยชนมาใช้ต่อสู้ตอบโต้
เมื่อวันที่ 22 มีนาคมที่ผ่านมา รัฐมนตรีต่างประเทศ แอนโทนี บลิงเคน ของสหรัฐฯ ได้ประกาศลงโทษแซงก์ชั่น [1] หวัง จิว์นเจิ้ง (Wang Junzheng) เลขาธิการของคณะกรรมการพรรคคอมมิวนิสต์จีนสาขาบริษัทซินเจียงการผลิตและการก่อสร้าง (Xinjiang Production and Construction Corps หรือ XPCC) และ เฉิน หมิงกั๋ว (Chen Mingguo) อธิบดีของกรมรักษาความมั่นคงสาธารณะซินเจียง (Xinjiang Public Security Bureau หรือ XPSB)
บลิงเคน บอกว่าที่จะแซงก์ชั่นคราวนี้ เนื่องจาก หวัง และ เฉิน ถูกกล่าวหาว่ามีส่วนอยู่ใน “การล้างเผ่าพันธุ์และอาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติในซินเจียง” จากนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐฯก็ดำเนินรอยตามด้วยการประกาศมาตรการแซงก์ชั่นของทางกระทรวงเอง [2]
ทางด้าน หวัง กับ เฉิน ตอบโต้ด้วยการแถลงประณามมาตรการแซงก์ชั่นเหล่านี้ ซึ่งไม่เพียงมีสหรัฐฯประกาศออกมาเท่านั้น แต่แคนาดา, สหราชอาณาจักร, และสหภาพยุโรป ก็ออกมาดำเนินการลงโทษคว่ำบาตรของพวกตนเองด้วยเช่นกัน หวังเรียกการแซงก์ชั่นเหล่านี้ว่าเป็น “การใส่ร้ายป้ายสีอย่างสิ้นเชิง” ขณะที่ เฉิน กล่าวว่า เขารู้สึก “ภาคภูมิใจมากสำหรับการถูกแซงก์ชั่นจากประเทศเหล่านี้” [3]
เมื่อเดือนตุลาคม 2011 ฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในเวลานั้น ได้ประกาศนโยบาย [4] หวนกลับมา “ปักหมุดที่เอเชีย” (pivot to Asia) [5] โดยที่จีนจะอยู่ตรงศูนย์กลางของการจัดกลุ่มรวมกำลังกันใหม่ครั้งนี้ คลินตันพูดอยู่หลายครั้งหลายหน –รวมทั้งพูดที่ฮาวายเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2011 [6] – ว่าคณะบริหารสหรัฐฯ ซึ่งเวลานั้นคือคณะบริหารของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ต้องการที่จะพัฒนา “ความสัมพันธ์ในเชิงบวกและการร่วมไม้ร่วมมือกันกับจีน” อย่างไรก็ตาม การสั่งสมเพิ่มพูนแสนยานุภาพของสหรัฐฯตามแนวชายฝั่งของอเมริกา กลับบอกเล่าเรื่องราวที่แตกต่างออกไปชนิดกลายเป็นคนละเรื่อง
ในเอกสาร “ทบทวนด้านกลาโหมรอบสี่ปีของสหรัฐฯ” (US Quadrennial Defense Review) ฉบับปี 2010 ได้ชี้ถึง “การปรากฏตัวและอิทธิพลที่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของจีน ในกิจการทางเศรษฐกิจและด้านความมั่นคงทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก” และเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “เป็นมิติที่ส่งผลกระทบอย่างสำคัญที่สุดมิติหนึ่งของภูมิทัศน์ทางยุทธศาสตร์ซึ่งกำลังวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป” [7] ในปี 2016 พลเรือเอกแฮร์รี แฮร์ริส (Admiral Harry Harris) ผู้บัญชาการทหารภาคพื้นแปซิฟิกของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่า สหรัฐฯพร้อมแล้วที่จะ “ประจันหน้ากับจีน” [8] คำแถลงนี้ดูขึงขังจริงจังมากจากการสั่งสมแสนยานุภาพทางทหารของสหรัฐฯรายล้อมรอบประเทศจีน
ทั้งคณะบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ และ ของโจ ไบเดน ส่วนใหญ่แล้วยังคงเดินตามนโยบาย "ปักหมุดที่เอเชีย” [9] โดยมีการเน้นย้ำเป็นพิเศษที่ประเทศจีน สหรัฐฯนั้นกำลังดิ้นรนหนักเพื่อพยายามตามให้ทันความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของจีน และแทบไม่มีพวกเครื่องมืออุปกรณ์ทางสติปัญญาและทางอุตสาหกรรมอยู่ในมือพรักพร้อมให้นำมาใช้ในการแข่งขันได้เอาเสียเลย
นี่แหละคือเหตุผลที่ว่า ทำไมในความพยายามหยุดยั้งความก้าวหน้าด้านต่างๆ ของจีน สหรัฐฯจึงต้องกระทำด้วยการใช้อำนาจทางการทูตและอำนาจทางการเมือง รวมทั้งกระทำผ่านการใช้สงครามข้อมูลข่าวสาร (information warfare) โดยที่ส่วนประกอบต่างๆ เหล่านี้ เมื่อรวมๆ กันเข้าก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกกันว่า “สงครามแบบผสมผสาน” (hybrid war) [10]
สงครามข้อมูลข่าวสาร
ก่อนหน้าการจัดแถลงข่าวเมื่อเดือนมีนาคม 2019 ซึ่งทางคณะผู้แทนสหรัฐฯประจำองค์การระหว่างประเทศต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในนครเจนีวา, สวิตเซอร์แลนด์ [11] ร่วมเป็นเจ้าภาพด้วยนั้น ผู้คนแทบทั้งหมดในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ตระหนักรับรู้หรอกว่ามีเขตซินเจียงอยู่ในประเทศจีน ยังไม่ต้องพูดถึงประชาชนชาวอุยกูร์จำนวน 13 ล้านคน [12] หรอก (ชาวอุยกูร์เป็น 1 ใน 55 ชาติพันธุ์ส่วนน้อยซึ่งได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในประเทศจีน)
สืบเนื่องจากชาวอุยกูร์เป็นประชากรส่วนใหญ่ในมณฑลทางภาคตะวันตกสุดของจีน ด้วยเหตุนี้เองชื่ออย่างเป็นทางการของหน่วยบริหารปกครองนี้จึงเรียกว่า เขตปกครองตนเองชนชาติอุยกูร์แห่งซินเจียง (ภาษาอังกฤษคือXinjiang Uighur Autonomous Region)
สำหรับงานแถลงข่าวในเดือนมีนาคม 2019 [13] ตัวละครสำคัญคนหนึ่งได้แก่ เอเดรียน เซนซ์ (Adrian Zenz) [14] นักวิจัยชาวเยอรมัน และเป็นสมาชิกนักวิจัยอาวุโสทางด้านจีนศึกษาคนหนึ่ง ณ มูลนิธิอนุสรณ์เหยื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ (Victims of Communism Memorial Foundation) [15] ซึ่งเป็นองค์การที่จัดตั้งขึ้นในปี 1993 [16] โดยรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนทัศนะความคิดเห็นแบบต่อต้านคอมมิวนิสต์ เมื่อเดือนเมษายน 2020 มูลนิธิแห่งนี้ --โดยไม่แยแสกับหลักฐานทั้งหลายทั้งปวง [17] — ได้กล่าวหาจีนว่าต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 [18]
เซนส์ยังมีความเกี่ยวข้องพัวพันอยู่กับ มูลนิธิเจมส์ทาวน์ (Jamestown Foundation) องค์การคลังสมองด้านนโยบายกลาโหมแนวทางอนุรักษนิยม [19] ซึ่งก่อตั้งโดย วิลเลียม เกเมอร์ (William Geimer) ผู้มีความใกล้ชิดกับคณะบริหารสหรัฐฯของอดีตประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ผู้ล่วงลับไปแล้ว [20]
เซนส์ กับ อีธาน กุตมานน์ (Ethan Gutmann) นักวิจัยอีกคนหนึ่งที่ มูลนิธิอนุสรณ์เหยื่อลัทธิคอมมิวนิสต์ [21] ได้ออกมาเล่าซ้ำไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับข้อสรุปของพวกเขาที่ว่า มี “การล้างเผ่าพันธุ์” ในซินเจียง ทั้งไปแถลงที่รัฐสภาสหรัฐฯ [22] และในสื่อสิ่งพิมพ์กระแสหลัก [23] ต่างๆ หลายหลาก
ในรายการที่เผยแพร่ทาง บีบีซี (British Broadcasting Corporation) [24] และ เดโมเครซี นาว (Democracy Now) [25] เซนส์ได้จัดเตรียมจัดหาสิ่งที่ดูเหมือนเป็นหลักฐานซึ่งแสดงให้เห็นถึงการล้างเผ่าพันธุ์ที่ดำเนินการโดย “พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบชาวจีน” เพื่อเล่นงานทำร้ายประชากรชาวอุยกูร์
เซนส์ กับ กุตมานน์ จะมีองค์กรต่างๆ เข้ามาร่วมมือด้วย โดยที่องค์การเหล่านี้ได้รับเงินทุนสนุบสนุนจากประดารัฐบาลฝ่ายตะวันตก ทว่า –ประกาศตัวเองเป็นองค์กรนอกภาครัฐบาล (เอ็นจีโอ)— และวางตัวว่าเป็นนักวิจัยอิสระตลอดจนเป็นกลุ่มต่อสู้เรียกร้องสิทธิต่างๆ (เป็นต้นว่า Global Center for the Responsibility to Protect[26] และUighur Human Rights Project—โครงการสิทธิมนุษยชนอุยกูร์
[27] โดยที่กลุ่มแรกได้เงินทุนสนับสนุนจากพวกรัฐบาลตะวันตก [28] ขณะที่กลุ่มหลังได้รับเงินทุนสนับสนุนจาก กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย --National Endowment for Democracy หรือ NED ของรัฐบาลสหรัฐฯ [29])
เมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ไมค์ พอมเพโอ ผู้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯในตอนนั้น ได้แถลงโจมตีรัฐบาลจีนหลายครั้งหลายครา โดยระบุว่าคำแถลงต่างๆ ว่าด้วยซินเจียงของเขานั้น ยึดโยงอยู่กับ “การเปิดโปงอย่างชวนให้รู้สึกช็อกของนักวิจัยชาวเยอรมัน เอเดรียน เซนส์” [30]
เซนส์ยังเป็นผู้จัดเตรียมจัดหาเอกสารต่างๆ ชุดหนึ่งที่มีความกำกวมคลุมเครือในแง่กระบวนการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และมีลักษณะเป็นข้อกล่าวหาในทางการเมือง ทว่าได้ถูกนำเอาใช้ในฐานะเป็นข้อเท็จจริงโดยรัฐบาลสหรัฐฯในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารเพื่อต่อต้านคัดค้านจีน เวลาเดียวกันนั้น ใครก็ตามที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวหาของเซนส์ ก็จะถูกลดทอนไม่ให้ความสำคัญ ด้วยการประทับตราให้คนเหล่านี้ว่าเป็นพวกนักทฤษฎีสมคบคิด
สงครามทางการทูตและทางเศรษฐกิจ
สงครามข้อมูลข่าวสารที่รัฐบาลสหรัฐฯใช้เล่นงานโจมตีจีน ได้ผลิต “ข้อเท็จจริง” ที่ว่ามีการล้างเผ่าพันธุ์ในซินเจียง แล้วทันทีที่เรื่องนี้ปักหลักมั่นคงขึ้นมาได้แล้ว มันก็เป็นตัวช่วยพัฒนาการทำสงครามทางการทูตและทางเศรษฐกิจต่อไป
ในวันที่ 22 มีนาคมปีนี้ วันเดียวกับที่สหรัฐฯประกาศแซงก์ชั่น [31] ทางคณะมนตรีของสหภาพยุโรปก็ได้ประกาศใช้อำนาจฝ่ายเดียวในการอายัดทรัพย์และห้ามการเดินทางมายุโรปของเจ้าหน้าที่รัฐบาลจีนรวม 4 คน โดยนอกจาก หวัง จิว์นเจิ้ง และ เฉิน หมิงกั๋ว แล้ว ยังมี หวังหมิงซาน (Wang Mingshan) และ จู ไห่หลุน (Zhu Hailun) [32]
สหราชอาณาจักร [33] และแคนาดา [34] ก็ได้เข้าร่วมการผจญภัยนี้เช่นกันในวันเดียวกันนั้น นี่ดูเหมือนเป็นความพยายามอย่างมีการร่วมมือประสานงานกันเพื่อวาดภาพให้เห็นไปว่าจีนเป็นประเทศที่กำลังล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน การเล่นงานโจมตีนี้เกิดขึ้นไม่นานนักหลังจากจีนประกาศว่าได้บรรลุเป้าหมายด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญมาก นั่นคือการยกระดับประชาชนจำนวน 850 ล้านคนให้พ้นจากภาวะความยากจนระดับสุดๆ [35] ทั้งรัฐบาลสหรัฐฯและช่องทางสื่อของรัฐบาลสหรัฐฯต่างพยายามท้าทายตั้งแง่ตั้งข้อสงสัยกับความสำเร็จอันโดดเด่นนี้ [36]
ทรัมป์ได้ผลักดันให้ทำสงครามการค้ากับจีน [37] เพียงไม่นานหลังจากเขาเข้ารับตำแหน่ง ประธานาธิบดีในเดือนมกราคม 2017 กรอบโครงนโยบายเรื่องนี้ของเขาเวลานี้ ยังคงดำรงอยู่ไม่ได้ถูกยกเลิกอะไรไปภายใต้คณะบริหารไบเดน [38]
เพื่อดึงเอาสงครามการค้ากับสงครามข้อมูลข่าวสารซินเจียงเข้ามาผสมผสานกัน เมื่อกลางเดือนธันวาคม 2020 เซนส์ และ สถาบันนิวไลนส์เพื่อยุทธศาสตร์และนโยบาย (Newlines Institute for Strategy and Policy องค์การคลังสมองแห่งนี้เดิมใช้ชื่อว่า ศูนย์เพื่อนโยบายระดับโลก Center for Global Policy [39]) ก็ได้เผยแพร่เอกสารข้อสรุปทางด้านข่าวกรองว่าด้วย "การบังคับใช้แรงงานในซินเจียง” [40]
ข้อกล่าวอ้างต่างๆ ในเอกสารข้อสรุปนี้ --ซึ่งยึดโยงอยู่กับข้อเขียนชิ้นหนึ่งทางวอลล์สตรีทเจอร์นัลเมื่อปี 2019 ที่พูดถึงเรื่องห่วงโซ่อุปทานและซินเจียง [41]— ได้ก่อให้เกิดทะเลเพลิงทางสื่อมวลชนขึ้นในโลกตะวันตก โดยที่ได้รับการขยายความจากสำนักข่าวรอยเตอร์ [42] แล้วจากนั้นก็ได้รับคัดสรรนำไปเผยแพร่ต่อจากพวกสื่อที่มีคนอ่านกันกว้างขวาง [43] ต่อมามันก็นำไปสู่การที่รัฐบาลสหรัฐฯประกาศแบนฝ้ายซินเจียง [44]
สิ่งทอและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มของโลกประมาณหนึ่งในสาม [45] ทีเดียวมาจากจีน โดยที่ประเทศนี้ส่งออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้คิดเป็นมูลค่าประมาณปีละ 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่ยอดส่งออกสินค้าทุกๆ อย่างของจีนตกปีละ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ตามตัวเลขของกรมการสถิติแห่งชาติ (National Bureau of Statistics) ของจีน [46] ระบุเอาไว้ว่า 87%ของผลผลิตฝ้ายทั้งหมดของจีนมาจากซินเจียง [47] นี่เอง ฝ้ายซินเจียงคุณภาพสูงเกือบทั้งหมด –และสิ่งทอที่ผลิตจากฝ้ายเหล่านี้ภายในจีน— ถูกส่งไปยังพวกบริษัทเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายตะวันตก เป็นต้นว่า H&M และ Zara [48]
เมื่อปี 2009 บริษัทเหล่านี้หลายแห่งได้ช่วยกันก่อตั้งโครงการริเริ่มเพื่อฝ้ายที่ดียิ่งขึ้น (Better Cotton Initiative หรือ BCI) ซึ่ง –จนกระทั่งถึงปีที่แล้วนี่เองด้วยซ้ำ--ได้เคยแสดงความตื่นเต้นยินดีเกี่ยวกับการพัฒนาต่างๆ ในซินเจียง (รวมทั้งพวกสหกรณ์เกษตรกรรายย่อยซึ่งจัดตั้งขึ้นในซินเจียง [49]) หลังสุดกระทั่งในวันที่ 26 มีนาคมปีนี้ BCI ยังคงมีคำแถลงที่ชัดเจนระบุว่า “ตั้งแต่ปี 2012 เป็นต้นมา สถานที่ตั้งโปรเจ็คต์ซินเจียงได้ดำเนินการตรวจสอบความน่าเชื่อถือโดยฝ่ายที่สอง และการพิสูจน์ยืนยันโดยฝ่ายที่สามมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และไม่เคยพบกรณีที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้แรงงานเลยแม้แต่กรณีเดียว” [50]
แต่ถึงแม้ BCI มีคำแถลงเมื่อไม่นานมานี้เองที่แสดงความเชื่อมั่นรวมทั้งแสดงออกถึงการมองโลกในแง่ดี สิ่งต่างๆ กลับกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วมากสำหรับเกษตรกรผู้ปลูกฝ้ายซินเจียง เมื่อ BCI เหมือนกระโดดเข้าไปร่วมไม้ร่วมมือกับสหรัฐฯในการทำสงครามแบบผสมผสานเล่นงานจีนด้วยความดุเดือดเข้มข้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เวลานี้ BCI ได้ปิดเพจของตนที่พูดถึงผลงานในประเทศจีน [51] , กล่าวหาจีนว่า “บังคับใช้แรงงาน” [52] ตลอดจนการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างอื่นๆ, และจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจว่าด้วยการบังคับใช้แรงงานและการทำงานอย่างถูกต้องเหมาะสม (Task Force on Forced Labor and Decent Work) [53] ขึ้นมา
พวกเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลซินเจียงต่างพากันโต้แย้งข้ออ้างต่างๆ เหล่านี้ [54] โดยชี้ให้เห็นว่า การใช้แรงงานในไร่นาสำหรับการปลูกฝ้ายในซินเจียงนั้น จำนวนมากได้มีการแทนที่ด้วยการใช้เครื่องจักรไปเรียบร้อยแล้ว (เครื่องจักรเหล่านี้จำนวนมากนำเข้าจาก จอห์น เดียร์ John Deere ซึ่งเป็นบริษัทสหรัฐฯ [55])
หนังสือเล่มที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ เรื่องCotton Science and Processing Technology(วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการแปรรูปฝ่าย) ซึ่งมี ฮวา หวัง (Hua Wang) และ ฮาฟีซุลเลาะห์ เมมอน (Hafeezullah Memon) เป็นบรรณาธิการ [56] ได้ยืนยันในจุดนี้ เช่นเดียวกับรายงานต่างๆ ของสื่อมวลชนจากช่วงก่อนปี 2019 เป็นต้นมา [57] แต่ข้อเท็จจริงอย่างเรื่องพวกนี้ดูเหมือนไม่มีโอกาสได้เงยหน้าอ้าปากอะไรกับใครเขาในท่ามกลางการครอบงำของสงครามข้อมูลข่าวสาร ซินเจียง- ซึ่งมีขนาดใหญ่ประมาณสองเท่าครึ่งของฝรั่งเศส—เวลานี้จึงกลายเป็นจุดศูนย์กลางของสงครามเย็นที่ตนเองไม่ได้เป็นคนสร้างขึ้นมาเลย
ข้อเขียนนี้ผลิตโดยGlobetrotter (https://independentmediainstitute.org/globetrotter/) ซึ่งเป็นผู้จัดหาข้อเขียนนี้ให้แก่ เอเชียไทมส์
วีเจย์ ปราซาด เป็นนักประวัติศาสตร์, บรรณาธิการ, และนักหนังสือพิมพ์ชาวอินเดีย เขาเป็นผู้เขียนเรื่องและหัวหน้าผู้สื่อข่าวอยู่ที่Globetrotter
เจีย สย์ง เป็นนักเทคโนโลยี, นักแปล, และบรรณาธิการชาวจีน เขาเข้าร่วมในกระบวนการปรับเข้าสู่ระบบดิจิตอลของวิสาหกิจชั้นนำแห่งต่างๆ หลายหลากในประเทศจีน เขาเป็นผู้ก่อตั้ง บริษัทShanghai Maku Cultural Communications บริษัทซึ่งมุ่งแนะนำประเทศจีนแก่บรรดาผู้อ่านในกลุ่มใต้ของโลก (Global South)
เชิงอรรถ
[1]https://www.state.gov/promoting-accountability-for-human-rights-abuse-with-our-partners/
[2] https://home.treasury.gov/news/press-releases/jy0070
[3] https://www.globaltimes.cn/page/202103/1219517.shtml
[4] https://foreignpolicy.com/2011/10/11/americas-pacific-century/
[5] https://www.foreignaffairs.com/articles/china/2016-03-03/making-good-rebalance-asia
[6] https://2009-2017.state.gov/secretary/20092013clinton/rm/2011/11/176999.htm
[7] https://archive.defense.gov/qdr/QDR%20as%20of%2029JAN10%201600.pdf
[8] https://www.reuters.com/article/us-southchinasea-usa/u-s-ready-to-confront-beijing-on-south-china-sea-admiral-idUSKBN1430CJ
[9] https://www.dw.com/en/can-president-joe-biden-return-the-us-pivot-to-asia/a-56337037
[10] https://thetricontinental.org/red-alert-9-china/
[11] https://geneva.usmission.gov/2019/03/13/remarks-of-ambassador-kelley-e-currie-on-protecting-fundamental-freedoms-in-xinjiang/
[12] https://www.neac.gov.cn/
[13] https://geneva.usmission.gov/2019/03/13/remarks-of-ambassador-kelley-e-currie-on-protecting-fundamental-freedoms-in-xinjiang/
[14] https://victimsofcommunism.org/leader/adrian-zenz-phd/
[15] https://victimsofcommunism.org/
[16] https://victimsofcommunism.org/about/
[17] https://thetricontinental.org/studies-2-coronavirus/
[18] https://victimsofcommunism.org/blame-chinese-communist-party-coronavirus-crisis/
[19] https://jamestown.org/analyst/adrian-zenz/
[20] https://jamestown.org/about-us/?letter=O#!
[21] https://go.ind.media/e/546932/leader-ethan-gutmann-/jnswtb/817851919?h=tA8bE-LMbSpoWnKY8svauLSOGDlf6RJn7wGLiq2Gs4g
[22] https://www.cecc.gov/events/hearings/forced-labor-mass-internment-and-social-control-in-xinjiang
[23] https://nypost.com/2020/07/30/activists-push-for-investigation-over-claims-china-is-forcibly-harvesting-organs-of-uighurs/
[24] https://www.bbc.com/news/world-asia-china-55794071
[25]https://www.democracynow.org/2019/7/26/china_xinjiang_uyghurs_internment_surveillance
[26] https://www.globalr2p.org/
[27] https://uhrp.org/
[28] https://www.globalr2p.org/about/
[29] https://www.ned.org/about/
[30]https://kz.usembassy.gov/on-chinas-coercive-family-planning-and-forced-sterilization-program-in-xinjiang/
[31] https://www.state.gov/promoting-accountability-for-human-rights-abuse-with-our-partners/
[32] https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/PDF/?uri=OJ:L:2021:099I:FULL&from=EN
[33] https://www.gov.uk/government/news/uk-sanctions-perpetrators-of-gross-human-rights-violations-in-xinjiang-alongside-eu-canada-and-us
[34] https://www.canada.ca/en/global-affairs/news/2021/03/canada-joins-international-partners-in-imposing-new-sanctions-in-response-to-human-rights-violations-in-xinjiang.html
[35] https://www.chinadaily.com.cn/a/202012/02/WS5fc6e710a31024ad0ba99340.html
[36] https://www.voanews.com/east-asia-pacific/voa-news-china/china-claims-it-has-eliminated-poverty-true
[37] https://thetricontinental.org/the-imperialism-of-finance-capital-and-trade-wars/
[38] https://asiatimes.com/2021/03/biden-continues-conflict-with-china-through-the-quad/
[39] https://newlinesinstitute.org/about/#/
[40] https://newlinesinstitute.org/wp-content/uploads/20201214-PB-China-Cotton-NISAP-2.pdf
[41] https://www.wsj.com/articles/western-companies-get-tangled-in-chinas-muslim-clampdown-11558017472
[42] https://www.reuters.com/article/china-cotton-forced-labour-trfn/china-accused-of-forcing-570000-people-to-pick-cotton-in-xinjiang-idUSKBN28P2CM
[43] https://qz.com/1956856/the-us-has-issued-a-sweeping-ban-on-cotton-from-chinas-xinjiang/
[44] https://www.washingtonpost.com/world/asia_pacific/china-cotton-sanctions-xinjiang-uighurs/2021/02/21/a8a4b128-70ee-11eb-93be-c10813e358a2_story.html
[45] https://www.wto.org/english/res_e/statis_e/wts2020_e/wts2020chapter06_e.pdf
[46] http://www.stats.gov.cn/english/PressRelease/202012/t20201221_1810253.html
[47] http://www.xinhuanet.com/english/2021-03/26/c_139838036.htm#:~:text=As%20the%20largest%20cotton%2Dgrowing,the%20majority%20being%20ethnic%20minorities.
[48] https://www.nytimes.com/2021/04/06/business/xinjiang-china-cotton-brands.html
[49] https://bettercotton.org/stories-from-the-field/chinese-co-op-helps-more-than-275-smallholder-farmers-raise-their-yields-and-profits/
[50] https://www.reuters.com/article/us-bci-cotton-xinjiang-idUSKBN2BI1KH
[51] https://bettercotton.org/about-better-cotton/where-is-better-cotton-grown/china/
[52] https://world.huanqiu.com/article/42RqI7YVJmK
[53] https://bettercotton.org/task-force-on-forced-labour-and-decent-work/
[54] https://www.fmprc.gov.cn/mfa_eng/wjbxw/t1850721.shtml
[55] https://www.scmp.com/economy/china-economy/article/3096510/us-farm-brand-john-deere-forefront-surging-cotton-machinery
[56] https://www.springer.com/gp/book/9789811591686
[57] http://www.xinhuanet.com/english/2017-10/23/c_136699854.htm