พวกผู้ประท้วงหลายร้อยคนรวมตัวกันที่เขตควีนส์ของนิวยอร์ก ในวันเสาร์ (27 มี.ค.) ส่วนหนึ่งของการชุมนุมทั่วประเทศ เรียกร้องยุติความรุนแรงต่อต้านคนเอเชีย ตามหลังเหตุกราดยิงที่สปาหลายแห่งซึ่งมีชาวเอเชียเป็นเจ้าของในแอตแลนตา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ส่วนใหญ่เป็นชาวเอเชีย
ฝ่ายจัดได้นัดชุมนุมตามเมืองต่างๆ ราว 60 เมืองทั่วสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงมหานครจอร์เจีย ซานฟรานซิโก ลอสแองเจลิส ชิคาโก ดีทรอยต์ และพอร์ทแลนด์
“เราเข้าสู่โรคระบาดใหญ่มาแล้ว 1 ปี แต่ความรุนแรงต่อต้านชาวเอเชียมีแต่หนักหน่วงขึ้น” คำกล่าวของ จูดี ฉาง ตัวแทนของกลุ่ม ANSWER พันธมิตรต่อต้านสงครามและต่อต้านการเหยียดผิดซึ่งอยู่เบื้องหลังการชุมนุม
เช่นเดียวกับแกนนำคนอื่นๆ ฉาง ชี้ว่า โวหารทางการเมืองคือปัจจัยสนับสนุนให้ความรู้สึกต่อต้านชาวเอเชียพุ่งสูงขึ้น หลังถ้อยคำทางการเมืองเหล่านั้นตราหน้าจีนในฐานะภัยคุกคาม
“ชาวเอเชียทุกคนที่ฉันรู้จัก ล้วนเคยเป็นเหยื่อความรุนแรง ตามราวี หรือประทุษร้าย” เธอให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีในนิวยอร์ก “เราถูกถ่มน้ำลายใส่ ถูกตะโกนด่า เราโดนจ้องมอง คนเดินหนีตอนที่เรามา”
เหตุกราดยิงเมื่อวันที่ 16 มีนาคม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 8 ราย ในนั้น 6 รายเป็นผู้หญิงเชื้อสายเอเชีย ก่อความกังวลและความเศร้าทั่วประเทศ เช่นเดียวกับความหวาดกลัวเกี่ยวกับอาชญากรรมจากความเกลียดชังที่เพิ่มขึ้นอย่างมากท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่
“หยุดมองจีนและคนจีนเป็นปีศาจร้าย!” ป้ายข้อความที่พวกผู้ประท้วงถือในแอตแลนตา ส่วนคนอื่นๆ ชูสัญลักษณ์และป้ายข้อความต่างๆ นานา ในนั้นรวมถึง “ไม่เอาก่อการร้ายเหยียดผิวต่อต้านคนเอเชีย”
“ฉันไม่ใช่ไวรัส ฉันไม่ใช่ศัตรู ฉันเป็นคนอเมริกันเชื้อสายจีน และฉันรักในสิ่งที่ฉันเป็น” ป้ายข้อความหนึ่งของการเดินขบวนอีกจุดในย่านไชนาทาวน์ของวอชิงตัน ซึ่งมีผู้เข้าร่วมราวๆ 100 คน
เออร์วิ ลี ผู้ประท้วงในเขตควีนส์ เรียกความรุนแรงต่อต้านคนเอเชียซึ่งเกิดขึ้นในประเทศของเขา ว่าเป็นผลพลอยได้ในทางลบของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ
ครั้งที่โควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ช่วงต้นปี 2020 นักการเมืองจำนวนหนึ่ง ในนั้นรวมถึง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีอเมริกา ณ ขณะนั้น ให้ฉายามันว่า “ไวรัสอู่ฮั่น” หรือ “ไวรัสจีน” ซึ่ง ลี ระบุว่ามันส่งผลกระทบเลวร้ายแก่ชุมชนชาวเอเชีย
“ผมเห็นคนมากมายได้รับผลกระทบ” เขากล่าว “พวกเขากลัวที่จะออกมาข้างนอก ผลจากความรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น”
(ที่มา : เอเอฟพี)