“แอสตร้าเซนเนก้า” อ้างอิงการตรวจสอบจากการใช้จริงกับชาวยุโรปไปแล้วจำนวนกว่า 17 ล้านคน ยันไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่า วัคซีนป้องโควิด-19 ที่ตนเองร่วมพัฒนากับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เพิ่มความเสี่ยงทำให้ผู้รับการฉีดเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตัน ส่วนในอีกด้านหนึ่ง เฟาซี “หมอใหญ่ทำเนียบขาว” ยอมรับอเมริกากำลังพิจารณาลดการเว้นระยะห่างเพื่อป้องกันไวรัสจาก 2 เมตร เหลือแค่ 1 เมตร พร้อมกันนั้น ยังขอให้ทรัมป์ชวนกองเชียร์เปลี่ยนใจยอมฉีดวัคซีน
หลังจากที่หลายประเทศโดยเฉพาะทางยุโรป ซึ่งรวมถึงไอร์แลนด์ เดนมาร์ก นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และล่าสุดคือ เนเธอร์แลนด์ ต่างสั่งระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เอาไว้ก่อน เนื่องจากกังวลกับปัญหาลิ่มเลือดอุดตัน ขณะที่ออสเตรียสั่งระงับการฉีดวัคซีนของบริษัทแห่งนี้ล็อตเดียวกับที่พบผู้เสียชีวิตจากภาวะการแข็งตัวของเลือดเมื่อสัปดาห์ก่อน ในวันอาทิตย์ (14 มี.ค.) แอสตร้าเซนเนก้า แถลงว่า การตรวจสอบจากการใช้จริงกับประชาชนกว่า 17 ล้านคน ในสหราชอาณาจักรและชาติต่างๆ ในสหภาพยุโรป (อียู) ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทเพิ่มความเสี่ยงภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด ลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก หรือเกล็ดเลือดต่ำ ไม่ว่าจะในกลุ่มอายุ เพศ หรือประเทศ ใดๆ ทั้งสิ้น
แอสตร้าเซนเนก้า เสริมว่า ได้พบกรณีการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำส่วนลึก 15 คน และภาวะลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด 22 คน ซึ่งก็พบได้จากการฉีดวัคซีนโควิดของบริษัทรายอื่นๆ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ฉุกเฉินแล้วเช่นเดียวกัน
บริษัทเวชภัณฑ์สัญชาติอังกฤษ-สวีเดนแห่งนี้ เสริมว่า บริษัทและหน่วยงานสุขภาพของยุโรปได้ทำการทดสอบเพิ่มเติม ซึ่งไม่พบสาเหตุให้ต้องกังวลใดๆ โดยรายงานความปลอดภัยนี้จะเผยแพร่บนเว็บไซต์ขององค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) ในเร็วๆ นี้
ปัจจุบันวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า/มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้รับอนุญาตให้ใช้ในอียูและหลายประเทศ และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12) องค์การอนามัยโลก (WHO) ก็แถลงว่า ไม่มีหลักฐานบ่งชี้ว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าเพิ่มความเสี่ยงลิ่มเลือดอุดตัน เช่นเดียวกับอีเอ็มเอที่ออกมายืนยันก่อนหน้านี้
แอสตร้าเซนเนก้ากำลังจัดเตรียมเอกสารเพื่อขออนุมัติการใช้ฉุกเฉินในสหรัฐฯ และคาดว่า ข้อมูลการทดลองเฟส 3 ในอเมริกาจะออกมาภายในไม่กี่สัปดาห์นี้
วันเดียวกันนั้น นายแพทย์แอนโทนี เฟาซี ที่ปรึกษาใหญ่ทางการแพทย์ของคณะบริหาร โจ ไบเดน เผยว่า ผู้เชี่ยวชาญของศูนย์เพื่อการควบคุมและป้องกันโรค (ซีดีซี) ของสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบรายงานการศึกษาของศูนย์การแพทย์เบธ ดีโคเนสส์ ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ที่พบว่า การเว้นระยะห่าง 2 เมตร กับ 1 เมตร ไม่มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด
รายงานดังกล่าวมาจากการสำรวจเขตการศึกษา 251 เขต ในสหรัฐฯ ซึ่งไม่พบความแตกต่างมากนักในแง่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในหมู่นักเรียนหรือเจ้าหน้าที่ ระหว่างกลุ่มที่ปฏิบัติตามกฎการเว้นระยะห่าง 1 เมตร และกลุ่มที่ต้องเว้นระยะห่าง 2 เมตร โดยที่ทั้งหมดต่างสวมหน้ากากป้องกัน
เฟาซี ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติด้วย สำทับว่า ซีดีซีตระหนักว่า มีข้อมูลจำนวนมากขึ้นที่บ่งชี้ว่า การเว้นระยะห่างเพียง 1 เมตร มีแนวโน้มมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดโควิดในบางสถานการณ์
เขายังบอกอีกว่า ซีดีซีกำลังทำการทดสอบในเรื่องนี้อยู่ซึ่งคาดว่า จะรู้ผลเร็วๆ นี้ และจะพิจารณาปรับเปลี่ยนระยะห่างที่แนะนำต่อไป ทั้งนี้ขณะนี้ทั่วโลกกำหนดใช้ระยะห่างอยู่ที่ 2 เมตร
การเว้นระยะห่างเพียง 1 เมตร มีผลอย่างมากไม่เฉพาะสำหรับโอกาสในการเปิดโรงเรียนอย่างเต็มรูปแบบเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการอนุญาตเปิดธุรกิจต่างๆ ตลอดจนสถานที่สาธารณะ เช่น สนามกีฬา
อเมริกาเป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี สถิติเหล่านี้เริ่มลดลงในปีนี้ ซึ่งเมื่อประกอบกับโครงการฉีดวัคซีนให้ประชาชนจึงถือว่า แนวโน้มของอเมริกาดีขึ้นเรื่อยๆ
กระนั้น เฟาซีแสดงความหวังว่า อดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะช่วยผลักดันเหล่าผู้สนับสนุนให้ยอมฉีดวัคซีนมากขึ้น และย้ำว่า ยังไม่ควรยกเลิกมาตรการจำกัดการระบาดเป็นการถาวร
ทั้งนี้ ผลสำรวจของพีบีเอส นิวส์อาวร์/เอ็นพีอาร์/มาริสต์ ที่เผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วพบว่า ผู้ชายประมาณ 50% ที่สนับสนุนพรรครีพับลิกัน ไม่มีแผนฉีดวัคซีนโควิด-19
(ที่มา: รอยเตอร์, เอเอฟพี)