xs
xsm
sm
md
lg

พวกก่อจลาจลบุกรัฐสภาสหรัฐฯวางแผนกันอย่างโจ่งแจ้งมาหลายอาทิตย์แล้ว แต่ตำรวจก็ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ

เผยแพร่:   โดย: โปรพับลิกา


ตำรวจที่มีกำลังน้อยมาก พยายามต้านทานพวกผู้สนับสนุนทรัมป์ ซึ่งชุมนุมกันอยู่ด้านนอกห้องโถงกลมของอาคารแคปิตอล เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.) โดยในที่สุดผู้คนเหล่านี้ก็บุกเข้าไปในสำเร็จ
(เก็บความจากเอเชียไทมส์ WWW.asiatimes.com)

US Capitol rioters planned for weeks in plain sight
By PROPUBLICA
08/01/2020

พวกวางแผนก่อการกบฎยึดอำนาจซึ่งบุกเข้าไปในอาคารรัฐสภาอเมริกัน ไม่ได้พยายามปกปิดอำพรางความตั้งใจของพวกเขาเลย แต่หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายซึ่งมีหน้าที่ปกป้องคุ้มครองยังกลับอยู่ในอาการไม่ทันระวังตั้งตัว

รายงานชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกสุดโดยเว็บไซต์โปรพับลิกา (Propublica) โดยเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมมือกันกับ ฟรอนต์ไลน์ (FRONTLINE) โปรแกรมภาพยนตร์สารคดีสืบสวนสอบสวน ซึ่งเผยแพร่โดย พับลิก บรอดแคสติ้ง เซอร์วิส (Public Broadcasting Service หรือ PBS) เครือข่ายทีวีสาธารณะที่ไม่หวังกำไรของสหรัฐฯ ทั้งนี้กำลังจะมีภาพยนตร์สารคดีเรื่องนี้ออกเผยแพร่ในเร็ววันนี้ด้วย

สำหรับรายงานชิ้นนี้ เขียนโดย โลแกน แจฟฟ์ (Logan Jaffe) , ลีเดีย ดีพิลลิส (Lydia DePillis), ไอแซค แอร์นสดอร์ฟ (Isaac Arnsdorf), และ เจ. เดวิด แมคสเวน (J. David McSwane) สามารถอ่านที่เผยแพร่ทางโปรพับลิกาได้ที่ https://www.propublica.org/article/capitol-rioters-planned-for-weeks-in-plain-sight-the-police-werent-ready?utm_source=sailthru&utm_medium=email&utm_campaign=dailynewsletter&utm_content=feature


การจู่โจมบุกรุกเข้าไปภายในรัฐสภาสหรัฐฯที่กรุงวอชิงตัน เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.) ที่ผ่านมา ได้ถูกเติมเชื้อเพลิงให้คุกรุ่นพร้อมลุกฮือขึ้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว และกระทำกันอย่างชนิดมองกันกันได้โต้งๆ ไม่ได้มีการปิดบังซ่อนเร้นอีกด้วย (กลุ่มอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ มีชื่อเรียกกันว่า Capitol หรือ Capitol Building ตั้งอยู่ในย่าน Capitol Hill ของกรุงวอชิงตัน โดยที่ทั้ง แคปิตอล Capitol, อาคารแคปิตอล Capitol Building, และ แคปิตอล ฮิลล์ Capitil Hill ได้กลายเป็นคำที่ใช้เรียกแทนรัฐสภาสหรัฐฯ ไปด้วย ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://en.wikipedia.org/wiki/United_States_Capitolและ https://en.wikipedia.org/wiki/Capitol_Hill --ผู้แปล)

ตลอดระยะเวลาหลายๆ สัปดาห์ที่ผ่านมา พวกผู้สนับสนุนที่เป็นพวกขวาจัดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้วิจารณ์ด่าทอผ่านทางสื่อสังคมอย่างไม่หยุดยั้งว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 มีการโกงกันอย่างมโหฬาร และได้ถูกพวกปรปักษ์ของทรัมป์โจรกรรมไป พวกเขาหารือถกเถียงกันอย่างเปิดเผย ในแนวความคิดที่จะก่อการประท้วงด้วยความรุนแรงขึ้นมา ในวันเวลาที่รัฐสภาสหรัฐฯจัดการประชุมกันเพื่อลงมติให้การรับรองผลการเลือกตั้งนี้

“เราได้ไอเดียขึ้นมาว่าจะเข้าไปยึดบริเวณรอบนอกติดกับ แ ค ปิ ต อ ล ในวันที่ 6 มกราคม” พวกผู้นำของขบวนการ “หยุดยั้งการโจรกรรม” (Stop the Steal movement) เขียนเอาไว้เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม พวกเขาเรียกการชุมนุมเดินขบวนในวันพุธที่ 6 ม.ค. ของพวกเขาว่าเป็น “การประท้วงอย่างดุร้ายไร้การยับยั้ง” (Wild Protest ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://wildprotest.com/) ซึ่งเป็นชื่อที่นำมาจากข้อความหนึ่งทางทวิตเตอร์ของทรัมป์ ที่ปลุกเร้าส่งเสริมให้พวกผู้สนับสนุนเขา แสดงความคับข้องใจของพวกตนบนท้องถนนของกรุงวอชิงตัน “มันจะดุร้ายไร้การยับยั้ง” ประธานาธิบดีผู้นี้ทวิตเอาไว้เช่นนี้ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://twitter.com/realDonaldTrump/status/1340185773220515840?ref_src=twsrc%5Etfw%7Ctwcamp%5Etweetembed%7Ctwterm%5E1340185773220515840%7Ctwgr%5E%7Ctwcon%5Es1_&ref_url=https%3A%2F%2Fglobalnews.ca%2Fnews%2F7559126%2Ftrump-twitter-suspension-calls-violence-us-capitol-protest%2F)

อาลี อเล็กซานเดอร์ (Ali Alexander) ผู้ก่อตั้งของขบวนการ Stop the Steal เรียกร้องสนับสนุนให้ผู้ที่จะเข้าร่วมการชุมนุมเดินขบวนครั้งนี้ นำเอาเต็นท์และถุงนอนมาด้วย และหลีกเลี่ยงการสวมหน้ากากป้องกัน “ถ้า ดีซี ยกระดับบานปลายออกไป ... เราก็จะทำอย่างนั้นด้วย” อเล็กซานเดอร์เขียนเอาไว้เช่นนี้บน “พาร์เลอร์” (Parler) เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นหนึ่งในโพสต์บนสื่อสังคมจำนวนหลายสิบข้อความที่แสดงการอ้าแขนต้อนรับความรุนแรง ที่ โปรพับลิกา ได้พบเห็นในช่วงหลายๆ สัปดาห์หน้าก่อนหน้าการโจมตีอาคารแคปิตอลในวันพุธ

ปรากฏว่ามีผู้คนหลายพันคนทีเดียวได้สนองตอบการเรียกร้องนี้

ด้วยเหตุผลอะไรก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน อย่างน้อยก็จนถึงเวลาที่ทีมผู้สื่อข่าวโปรพับลิกา เขียนรายงานชิ้นนี้เมื่อคืนวันที่ 6 ม.ค. ปรากฏว่าพวกเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องคุ้มครองฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหมดทั้งสิ้นของประเทศชาติ มีการเตรียมพร้อมที่ย่ำแย่เอามากๆ ในการเข้าควบคุมกองกำลังซึ่งชุมนุมรวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับพวกเขา (ที่เรียกว่าฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหมดของประเทศชาตินี้ เนื่องจากทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและทั้งวุฒิสมาชิก เกือบจะครบถ้วน 535 คนทีเดียว เมื่อวันพุธที่ 6 ม.ค. อยู่ในแคปิตอล เพื่อเข้าร่วมการประชุมร่วมของรัฐสภา รวมทั้งตัวรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ในฐานะที่เป็นประธานวุฒิสภา และก็เป็นประธานของการประชุมร่วมรัฐสภาครั้งนี้)

ในตอนบ่ายวันพุธนั้นเอง ตำรวจรัฐสภาสหรัฐฯ (US Capitol Police) ซึ่งจัดวางกำลังกันได้แค่เป็นแถวบางเฉียบ โดยมีเพียงโล่ปราบจลาจลไม่กี่อันคั่นกลางระหว่างพวกเขากับกลุ่มก้อนของผู้ประท้วงที่โกรธแค้น ก็ได้เข้าปะทะแบบมือเปล่ากับพวกผู้ก่อจลาจลตามขั้นบันไดของแคปิตอลฟากตะวันตก (West Front) พวกเขาพยายามต่อสู้โดยที่มีสิ่งกีดขวางสกัดกั้นให้ใช้งานได้น้อยมาก ขณะที่พวกม็อบซึ่งสวมทั้งหมวกเหล็กและเสื้อกันกระสุนพากันดันกันเข้ามาตามเส้นทางมุ่งสู่ประตูทางเข้าแคปิตอล ใรคลิปวิดีโอหลายชิ้นแสดงให้เห็นพวกเจ้าหน้ากำลังถอยออกไปอยู่ข้างๆ (ดูได้ที่ https://www.tiktok.com/@marcus.dipaola/video/6914723446496840965) และบางครั้งกระทั่งถ่ายเซลฟี่กับพวกม็อบ (ดูได้ที่ https://twitter.com/bubbaprog/status/1346920198461419520) ราวกับกำลังทำหน้าที่นำทางให้แก่พวกผู้สนับสนุนของทรัมป์ (ดูได้ที่ https://twitter.com/jazmineulloa/status/1346898566703435779) ให้เข้าไปในอาคารซึ่งสมมุติกันว่าพวกเขามีหน้าที่ต้องคุ้มครองรักษา (ดูได้ที่ https://twitter.com/shomaristone/status/1346900659820441603)

อดีตตำรวจรัฐสภาผู้หนึ่งซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนวิธีปฏิบัติต่างๆ ของหน่วยงานเก่าของเขาเป็นอย่างดี รู้สึกมึนตึ๊บกับฉากความคลี่คลายของเหตุการณที่เขาเฝ้าชมผ่านการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ แลร์รี เชเฟอร์ (Larry Schaefer) ผู้ทำหน้าที่ตำรวจรัฐสภามายาวนานถึง 34 ปี ก่อนเกษียณอายุเมื่อเดือนธันวาคม 2019 บอกว่า พวกอดีตเพื่อนร่วมงานของเขาเคยผ่านประสบการณ์ในการจัดการกับพวกฝูงชนผู้ก้าวร้าวกันมาก่อนแล้ว

“มันไม่ใช่เป็นการชุมนุมเดินขบวนแบบเกิดแรงกระตุ้นพุ่งพรวดขึ้นมาอย่างฉับพลันในขณะนั้นสักหน่อย” เชเฟอร์ กล่าว “เรากำลังเจอกับการชุมนุมเดินขบวนแบบที่มีการวางแผนกันก่อนและเป็นที่ทราบกันมาก่อน เป็นการชุมนุมเดินขบวนที่ในอดีตที่ผ่านมามีความโน้มเอียงมุ่งไปสู่ความรุนแรง รวมทั้งมีการข่มขู่ที่จะพกพาอาวุธมาด้วย –แล้วทำไมคุณจึงไม่เตรียมตัวคุณเองให้พร้อมอย่างที่เราได้เคยทำกันมาในอดีตล่ะ?”

ผู้ทำหน้าที่เป็นโฆษกให้ตำรวจรัฐสภาผู้หนึ่งไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อถูกสอบถามขอความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

ระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา บรรดาหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้เพิ่มน้ำหนักปรับโฟกัสของพวกเขาไปที่ประดากลุ่มขวาจัดทั้งหลายกันมากขึ้น ส่งผลให้มีการเก็บกวาดจับกุมกันเป็นระลอก เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้ว สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ (เอฟบีไอ) ได้จับกุมพวกสุดโต่งในรัฐมิชิแกนกลุ่มหนึ่ง และตั้งข้อหาพวกเขาว่ากำลังวางแผนร้ายเพื่อจับกุมผู้ว่าการของรัฐไปเป็นตัวประกัน ในวันจันทร์ (4 ม.ค.) ที่ผ่านมา ตำรวจกรุงวอชิงตันก็ได้รวบตัว เอนริเก ทาร์ริโอ (Enrique Tarrio) ผู้นำของกลุ่มขวาจัด “พราวด์ บอยส์” (Proud Boys) ด้วยข้อหาเผาป้ายของกลุ่มเรียกร้องสิทธิคนผิวดำ “แบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์” (Black Lives Matter)

การสนทนากันบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ของพวกปีกขวา ได้ถูกจับตาเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากแวดวงข่าวกรองของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ เมื่อเดือนกันยายน มีร่างรายงานฉบับหนึ่งของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิปรากฏขึ้นมา ซึ่งมีเนื้อหาระบุว่าพวกกลุ่มต่อสู้เรียกร้องให้คนผิวขาวเป็นใหญ่ (white supremacist) กำลังเป็นภัยคุกคามใหญ่โตที่สุดต่อความมั่นคงแห่งชาติ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.politico.com/news/2020/09/04/white-supremacists-terror-threat-dhs-409236)

คำเตือนภัยที่ว่าจะเกิดการบุกโจมตีแคปิตอลในวันพุธที่ 6 ม.ค. ปรากฏอยู่ทุกหนทุกแห่ง --บางทีอาจจะไม่ได้ระบุรายละเอียดอย่างเจาะจงทั้งหมดเกี่ยวกับเวลาที่วางแผนกันไว้ตลอดจนจุดแน่ชัดที่จะบุกเข้าไปในรัฐสภา แต่มันก็เป็นร่องรอยเงื่อนงำอันเพียงพอสำหรับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย ในการคาดการณ์ศักยภาพความเป็นไปได้ที่จะเกิดการก่อความไม่สงบในสังคมขึ้นมา

ในวันที่ 12 ธันวาคม มีโปสเตอร์แผ่นหนึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซต์ MyMilitia.com มีเนื้อหาปลุกเร้าให้ใช้ความรุนแรง ถ้าหากพวกวุฒิสมาชิกรับรองอย่างเป็นทางการในชัยชนะของว่าที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดน

“ถ้าเรื่องนี้ยังไม่มีการแปลี่ยนแปลงแล้ว ก็ขอเสนอขอเรียกร้อง การปฏิวัติ และยึดมั่นแน่วแน่กับกฎแห่งสงคราม” นี่เป็นโพสต์ทางเว็บไซต์นี้ของบุคคลผู้หนึ่งซึ่งเรียกตัวเองว่า 13DI “ขอบอก บุกยึด (แคปิตอล) ฮิลล์ หรือไม่ก็ตายในขณะพยายาม”

อีกคนหนึ่งเขียนเอาไว้ว่า “ดูเหมือนปรากฏออกมาให้เห็นเรียบร้อยแล้วว่า เมื่อว่ากันตามลายลักษณ์อักษร ชาวอเมริกันจำนวนเป็นล้านๆ คน กำลังอยู่ตรงขอบของการเคลื่อนไหวเพื่อทำหน้าที่ตามบทแก้ไขที่ 2 (Second Amendment) ของพวกเขา เพื่อยังความพ่ายแพ้ให้แก่เผด็จการและรักษาสาธารณรัฐเอาไว้” ทั้งนี้ บทแก้ไขที่ 2 เป็นการอ้างถึงบทแก้ไขที่ 2 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ซึ่งมีเนื้อหารับรองสิทธิของพลเมืองอเมริกันในการครอบครองอาวุธและในการถืออาวุธ

การที่กำลังตำรวจซึ่งป้องกัน แคปิตอล ประสบความพ่ายแพ้แก่พวกผู้ประท้วงอย่างรวดเร็วง่ายดายเมื่อวันพุธ (6 ม.ค.) แสดงให้เห็นถึงการใช้ยุทธวิธีซึ่งตรงกันข้ามอย่างชัดเจนกับที่ตำรวจท้องถิ่นนำมาใช้ระหว่างกระแสการประท้วง “แบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์” เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา โดยที่ในตอนนั้น นครแห่งนี้มีความรู้สึกกันเหมือนกำลังโดนปิดล้อมจากกำลังเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย

ในวันที่ 1 มิถุนยายน หลังจากการประท้วงที่ส่วนใหญ่เป็นไปด้วยความสงบดำเนินไปได้สองสามวัน กองกำลังป้องกันชาติ (National Guard), หน่วยงานอารักขาผู้นำของสหรัฐฯ (Secret Service), และ สำนักงานตำรวจอุทยานสหรัฐฯ (US Park Police) ก็ได้ยิงแก๊สน้ำตาและกระสุนยางเข้าขับไล่ฝูงชนที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรงแต่อย่างใด ในบริเวณจัตุรัสลาฟาแยตต์ (Lafayette Square) ด้านนอกของทำเนียบขาว เพื่อเปิดทางให้ทรัมป์สามารถเดินออกจากทำเนียบขาวไปโพสท่าให้สื่อมวลชนถ่ายรูปโดยที่ในมือของเขาถือคัมภีร์ไบเบิล ณ บริเวณด้านหน้าของโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ แถวนั้น

“เราจำเป็นที่จะต้องมีอำนาจเหนือพื้นที่สู้รบนี้” มาร์ก เอสเปอร์ (Mark Esper) รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯในตอนนั้นกล่าว ระหว่างการโทรศัพท์สนทนากับพวกผู้ว่าการของรัฐหลายสิบคน เพื่อขอร้องให้พวกเขายอมส่งกองกำลังป้องกันชาติของรัฐเหล่านั้นมายังเมืองหลวง

ในวันที่ 2 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันที่มีการจัดเลือกตั้งหยั่งเสียงไพรมารีในกรุงวอชิงตัน มีพวกเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายปรากฏตัวให้เห็นอยู่ทั่วทุกหนแห่งในเมืองหลวงของสหรัฐฯ พวกเขาต่างอยู่ในเครื่องแบบชุดพรางและชุดเกราะกันกระสุน พร้อมกับประกอบอาวุธขนาดหนัก นอกจากนั้นยังมีรถทหาร “ฮัมวี” ออกมาปิดตามทางแยกต่างๆ ส่วนพวกรถโดยสารที่บรรทุกทหารเต็มคันก็นำเอาทหารออกมาตั้งแถวรวมพลกันที่บริเวณด้านหน้าของอนุสรณ์สถานประธานาธิบดีลินคอล์น ด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการสำแดงกำลังอย่างชัดเจน ตำรวจยังเข้าปิดล้อมพวกผู้ประท้วงเป็นกลุ่มๆ เอาไว้ให้อยู่แต่ตามตรอกซอกซอย ขณะเฮลิคอปเตอร์บินว่อนอยู่เหนือศีรษะกันเป็นวันๆ รวมทั้งมีการร่อนโฉบลงมาเหนือกลุ่มผู้ประท้วงในระดับต่ำเพียงพอที่จะทำให้เกิดลมพัดกรรโชกแรงๆ (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://www.washingtonpost.com/graphics/2020/investigations/helicopter-protests-washington-dc-national-guard/)

การสำแดงอำนาจความเหนือกว่าทำนองนี้ กลับไม่มีปรากฏให้เห็นตรงไหนเลยในวันพุธ (6 ม.ค.) ทั้งๆ ที่พื้นที่ใจกลางเมืองของวอชิงตัน ดีซี แทบจะถูกล็อกดาวน์ทีเดียวเมื่อคืนวันอังคาร (5 ม.ค.) พวกผู้สนับสนุนทรัมป์สามารถขับรถไปยังแคปิตอล และจอดกันตามที่ว่างซึ่งปกติแล้วสงวนเอาไว้สำหรับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐสภา รถบางคันกระทั่งไปจอดกันบนสนามหญ้าใกล้ๆ กับอ่างเก็บน้ำ “ไทดัล เบซิน” (Tidal Basin) (ดูเพิ่มเติมได้ที่ https://twitter.com/jburroughsa/status/1346874918454104064?s=20)

ภาพตัดแย้งอย่างชนิดเป็นตรงกันข้ามที่เกิดขึ้น ทำเอา คาร์ล เรซีน (Karl Racine) อัยการใหญ่ของวอชิงตัน ดีซี ถึงกับช็อก และดูอยู่ในอาการแทบไม่อยากเชื่อเลย เมื่อเขาปรากฏตัวทางโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในคืนวันพุธ (6 ม.ค.)

“ไม่มีข่าวกรองแม้แต่นิดเดียวที่ระบุว่าพวกผู้ประท้วง แบล็ก ไลฟ์ส แมตเทอร์ กำลังจะ “เข้าถล่มแคปิตอล” เขาทบทวนความหลัง หลังจากไล่เรียงกำลังตำรวจมากมายที่ปรากฏตัวในเดือนมิถุนายน “เมื่อนำเอามาเปรียบเทียบสิ่งที่เราได้เห็นกันในวันนี้ กับพวกกลุ่มมุ่งสร้างความเกลียดชัง, พวกติดอาวุธท้องถิ่น และกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้มีความเคารพหลักนิติธรรมเลยซึ่งเข้าไปในแคปิตอล ... ความแตกต่างกันอย่างเป็นคนละเรื่องเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกช็อก”

คำถามที่ว่าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและพวกสถาบันความมั่นคงแห่งชาติทำไมจึงได้บกพร่องล้มเหลวกันอย่างน่าตื่นตาตื่นใจได้ถึงขนาดนี้ น่าจะกลายเป็นหัวข้อที่ถูกเพ่งเล็งสนใจกันอย่างดุเดือดจริงจังในช่วงหลายๆ วันต่อจากนี้

เดวิด คาร์เตอร์ (David Carter) ผู้อำนวยการของโปรแกรมข่าวกรอง (Intelligence Program) ณ มหาวิทยาลัยมิชิแกน สเตท กล่าวว่า บางครั้งข่าวกรองระดับยอดเยี่ยมที่สุดในโลก ก็ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปเป็นการเตรียมพร้อมรับมืออย่างถูกต้องเหมาะสมแต่อย่างใด บางทีพวกเจ้าหน้าที่ความมั่นคงซึ่งรับผิดชอบการพิทักษ์คุ้มครองแคปิตอล อาจจะเพียงแค่ไม่ได้วาดภาพออกมาว่า ฝูงชนชาวอเมริกันจะสามารถบุกลุยผ่านแถวตำรวจ และเข้าทุบทำลายพวกหน้าต่างกระจกซึ่งอยู่ตรงหน้าในฐานะที่เป็นเพียงเครื่องกั้นขวางทางกายภาพเพียงอย่างเดียวที่เหลืออยู่ ก่อนที่พวกเขาจะสามารถเข้าไปในอาคารรัฐสภาได้

“ผมย้อนหลังกลับไปดูรายงานของคณะกรรมการสอบสวนกรณี 9/11” คาร์เตอร์บอก “มันเป็นความล้มเหลวของการไม่มีจินตนาการ พวกเขาไม่เคยคิดจินตนาการวาดภาพอะไรแบบนี้ออกมา คุณจะนึกคิดจินตนาการเอาไว้ก่อนไหมว่าผู้คนกำลังจะลุยเข้าไปในแคปิตอล และเข้าไปในห้องประชุมสภา? เจ้าความล้มเหลวของจินตนาการนี่บางทีก็ทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างร้ายแรงขึ้นมา”

โลแกน แจฟฟ์ เป็นนักข่าวผู้มีส่วนร่วม (engagement reporter) ของโปรพับลิกา อิลลินอยส์ ลีเดีย ดีพิลลิส รายงานข่าวด้านการค้าและเศรษฐกิจ ไอแซค แอร์นสดอร์ฟ เป็นนักข่าวที่โปรพับลิกันซึ่งรายงานข่าวการเมืองระดับชาติ เจ. เดวิด แมคสเวน เป็นนักข่าวในสำนักงานดีซีของโปรพับลิกา ซึ่งทำข่าวด้านการดูแลสุขภาพ, พลังงาน, สัญญาจ้างเหมาของรัฐบาลสหรัฐฯ, และประเด็นปัญหาที่ดิน มายา อีเลียฮาว ทำหน้าที่รายงานข่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้โปรพับลิกาเป็นห้องข่าวไม่ค้ากำไรซึ่งมุ่งติดตามสืบสวนเรื่องการใช้อำนาจโดยมิชอบ

พวกผู้สนับสนุนทรัมป์เผชิญหน้ากับตำรวจ ภายหลังสามารถบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.)

ริชาร์ด บาร์เนตต์ ผู้สนับสนุนทรัมป์เคนหนึ่ง นั่งอยู่ภายในที่ทำงานของ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ภายหลังเขากับพรรคพวกสามารถบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.)

พวกผู้สนับสนุนทรัมป์ รวมทั้ง (คนกลาง) สมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มเชื่อทฤษฎีสมคบคิด คิวเอนอน ที่มีชื่อว่า เจค แองเจลี และตั้งฉายาให้ตัวเองว่า หมาป่าเยลโลสโตน (Yellowstone Wolf)  ขณะบุกเข้าไปภายในอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันพุธ (6 ม.ค.)
กำลังโหลดความคิดเห็น