เดโมแครตยึดสภาคองเกรสแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลังครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาได้สำเร็จเมื่อวันพุธ (6 ม.ค.) จากชัยชนะในศึกเลือกตั้งอันคู่คี่สูสีในรัฐจอร์เจีย ส่งผลให้พรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ต้องประสบความปราชัยครั้งใหญ่หลวง 2 สัปดาห์ก่อน ที่เขาจะพ้นจากตำแหน่ง และมอบอำนาจอย่างกว้างขวางในวอชิงตันแก่ โจ ไบเดน
การพังครืนของรีพับลิกันในจอร์เจีย มีขึ้นหลังจาก นายโจน ออสซอฟฟ์ ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ได้รับประกาศให้เป็นผู้ชนะในศึกเลือกตั้งวุฒิสภาตัวสุดท้ายจาก 2 ตัวที่วางอยู่ของรัฐจอร์เจีย และมีขึ้นในขณะที่พวกผู้สนับสนุนของทรัมป์ ซึ่งโกรธแค้นที่เขาพ่ายแพ้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ใช้ความรุนแรงจู่โจมปิดล้อมอาคารรัฐสภา ที่กำลังเปิดอภิปรายรับรองชัยชนะในศึกเลือกตั้งของไบเดน ฉุดวอชิงตันเข้าสู่ความอลหม่าน
ทรัมป์ ผู้ขัดขืน พูดกับพวกผู้สนับสนุนระหว่างรวมตัวกันบนท้องถนนก่อนเกิดความไม่สงบ ยืนกรานว่า “เราจะไมมีวันยอมแพ้ เราจะไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้” อย่างไรก็ตาม ในช่วงท้ายของวาระการดำรงตำแหน่ง 4 ปี ทรัมป์กลับสูญเสียอำนาจทั้งในทำเนียบขาว, สภาผู้แทนราษฎร และตอนนี้ก็วุฒิสภาให้แก่พรรคเดโมแครต
รัฐทางใต้แห่งนี้ที่มีความโน้มเอียงไปทางรีพับลิกันมานานกว่า 2 ทศวรรษ เคยสร้างความตกตะลึงทางการเมือง 2 ครั้งในรอบไม่กี่เดือน โดยในเดือนพฤศจิกายน ครั้งที่ ไบเดน เอาชนะ ทรัมป์ ไปอย่างฉิวเฉียด และล่าสุด ก็ลงคะแนนไม่เอา 2 สมาชิกวุฒิสภาจากรีพับลิกัน ผู้ภักดีต่อ ทรัมป์
ชัยชนะอย่างฉิวเฉียดและครั้งประวัติศาสตร์ของ ออสซอฟฟ์ วัย 33 ปี ซึ่งกลายเป็นวุฒิสภาชิกสหรัฐฯอายุน้อยที่สุด นับตั้งแต่ครั้งที่ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งในปี 1973 และ ราฟาเอล วอร์นอค ซึ่งกลายเป็นวุฒิสมาชิกอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันคนแรกในประวัติศาสตร์ของรัฐจอร์เจีย จะยุติความแตกแยกในรัฐบาลวอชิงตัน และมอบโอกาสทองแก่ไบเดน ที่จะผลักดันวาระทางกฎหมายต่างๆ ผ่านการเห็นชอบของสภาคองเกรส
ทั้งสองพรรคมีคะแนนเสียงในวุฒิสภา 50 ต่อ 50 เสียง แต่เดโมแครตจะถือครองความได้เปรียบทางอำนาจ เนื่องจากว่าที่รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริส จะสามารถใช้สิทธิลงคะแนนเสียงในฐานะประธานวุฒิสภาโดยตำแหน่ง เพื่อชี้ขาดในกรณีที่วุฒิสมาชิกลงคะแนนเสียงเท่ากันในญัตติใดญัตติหนึ่ง
การสูญเสียเสียงข้างมากในวุฒิสภาของรีพับลิกัน ก่อความหมายโดยนัยครั้งสำคัญแก่รัฐบาลของไบเดน โดยเฉพาะจากข้อเท็จจริงที่ว่า มิตช์ แม็คคอนเวลล์ ผู้นำเสียงข้างมากของรีพับลิกัน เคยเป็นผู้ขัดขืนอย่างดุเดือดต่อวาระนโยบายต่างๆ ในสมัยของประธานาธิบดี บารัค โอบามา
ที่สำคัญคือ ตัวเลือกในคณะรัฐมนตรีของไบเดน น่าจะผ่านความเห็นชอบและได้รับการรับรองจากวุฒิสภาง่ายดายกว่าเดิม ในขณะที่ตัวเลือกศาลกลางและศาลสูงสุดของไบเดน ก็น่าจะได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งขันในสภาคองเกรสเช่นกัน ถ้าเจออุปสรรคก็คงเป็นแค่สิ่งกีดขวางเล็กๆ น้อยๆ
นอกจากนี้แล้ว การที่พรรคเดโมแครตสามารถครองอำนาจเบ็ดเสร็จทั้งในทำเนียบขาว วุฒิสภา และสภาผู้แทนราษฎร ยังเอื้อต่อการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่เพื่อเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19
(ที่มา: เอเอฟพี)