อังกฤษเผยผลศึกษาที่ยืนยันว่า ไวรัสโคโรนากลายพันธุ์ที่กำลังเขย่าขวัญชาวโลก ไม่มีแนวโน้มทำให้อาการป่วยรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญอียูเห็นด้วยกับข้อมูลดังกล่าว แต่เตือนว่าความสามารถในการระบาดที่สูงขึ้น อาจเพิ่มภาระให้สถานพยาบาล รวมทั้งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากขึ้น อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีให้ได้เบาใจบ้าง หลังลอนดอนอนุมัติฉุกเฉินให้ใช้วัคซีนของแอสตราเซเนกา/ออกซ์ฟอร์ด ซึ่งก็เป็นตัวที่ไทยไปจองซื้อและร่วมในการบรรจุและแจกจ่าย นอกจากนั้นซิโนฟาร์มของจีนได้เปิดเผยเป็นครั้งแรกว่า ผลการทดลองอย่างกว้างขวางยืนยัน วัคซีนของตนมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดเกือบ 80%
ในวันอังคาร (29) สำนักงานสาธารณสุขอังกฤษเปิดเผยงานการศึกษาเปรียบเทียบซึ่งเบื้องต้นพบว่า ระหว่างไวรัสสายพันธุ์ก่อโรค (wild-type) กับไวรัสกลายพันธุ์ อัตราการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและอัตราป่วยตายใน 28 วันไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในเชิงสถิติ ขณะที่แนวโน้มการติดเชื้อซ้ำก็เช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ คณะนักวิจัยของสำนักงานสาธารณสุขอังกฤษได้ใช้ตัวอย่างผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ 1,769 คน กับผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ก่อโรคจำนวนเท่ากัน รวมทั้งยังเปรียบเทียบเรื่องอายุ เพศ บริเวณที่อยู่อาศัย และเวลาในการทดสอบ ของ 2 กลุ่มนี้ในลักษณะ 1: 1
ปรากฏว่าในบรรดาผู้ป่วย 42 คนจากตัวอย่างเหล่านี้ ที่ถึงขั้นต้องถูกนำส่งโรงพยาบาล มี 16 คนติดไวรัสกลายพันธุ์ อีก 26 คน ติดไวรัสสายพันธุ์ก่อโรค ขณะที่อัตราการเสียชีวิตนั้น อยู่ที่ 12 คนสำหรับไวรัสกลายพันธุ์ และ 10 คนสำหรับไวรัสสายพันธุ์ก่อโรค
อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาพบว่า อัตราป่วยระลอกสอง ซึ่งหมายถึงอัตราร้อยละหรืออัตราต่อพันของผู้สัมผัสโรคที่เกิดป่วยเป็นโรคขึ้นภายหลังไปสัมผัสผู้ป่วยกลุ่มแรกนั้น ปรากฏว่าในกลุ่มผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จะสูงกว่า
ทางด้าน ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (อีซีดีซี) ระบุในรายงานเผยแพร่วันอังคารเช่นกันว่า แม้ไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่า ผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์มีอาการรุนแรงกว่า แต่จากข้อเท็จจริงที่ไวรัสกลายพันธุ์ติดง่ายขึ้นจะส่งผลให้โรงพยาบาลต้องแบกรับภาระหนักขึ้นและอัตราการเสียชีวิตอาจสูงขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงวัยหรือผู้ที่มีโรคอื่นอยู่แล้ว
รายงานฉบับนี้มุ่งศึกษาไวรัสกลายพันธุ์ 2 ตัวที่พบในอังกฤษและแอฟริกาใต้ ซึ่งล้วนแสดงสัญญาณว่า มีความสามารถในการแพร่ระบาดมากขึ้น โดยขณะนี้มีผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในอังกฤษ เป็นจำนวนกว่า 3,000 คนแล้วในสหราชอาณาจักร และอีกหลายสิบคนในยุโรปและทั่วโลก
ส่วนผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ที่พบในแอฟริกาใต้มีกว่า 300 คนในแอฟริกาใต้, 3 คนในยุโรป, 2 คนในสหราชอาณาจักร และ 1 คนในฟินแลนด์
อีซีดีซีแนะนำให้ประเทศต่างๆ แนะนำประชาชนต่อเนื่องให้งดการเดินทางและการทำกิจกรรมทางสังคมที่ไม่จำเป็น รวมทั้งติดตามสืบสาวการระบาดของโรคเพื่อตรวจพบและติดตามไวรัสกลายพันธุ์ทันท่วงทียิ่งขึ้น เพิ่มการติดตามผลและตรวจผู้ที่เชื่อมโยงกับพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสกลายพันธุ์จำนวนมาก อีกทั้งเตือนให้ผู้ที่มาจากพื้นที่เสี่ยงกักตัวและรับการตรวจหาเชื้อ
ขณะเดียวกัน เมื่อวันพุธ (30) อังกฤษเป็นประเทศแรกที่อนุมัติการใช้ฉุกเฉินสำหรับวัคซีนต้านโควิดที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดร่วมพัฒนากับแอสตราเซเนกา ซึ่งผลการทดลองขั้นสุดท้ายโดยรวมพบว่า มีประสิทธิภาพ 70.4% ถือเป็นวัคซีนโควิดตัวที่ 2 ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เป็นกรณีฉุกเฉิน หลังจากเมื่อต้นเดือนรัฐบาลแดนยูเนียนแจ็กอนุมัติและเริ่มฉีดวัคซีนของไฟเซอร์/ไบโอเอ็นเทคให้ประชาชนแล้ว
ก่อนหน้านี้ เมื่อปลายเดือนพฤศจิกายน บีบีซีภาคภาษาไทยรายงานว่า รัฐบาลไทยได้เซ็นสัญญาจองซื้อล่วงหน้าวัคซีนตัวนี้เป็นจำนวน 60 ล้านโดส ราคากว่า 6,000 ล้านบาท รวมทั้งให้บรรจุและแจกจ่ายวัคซีนนี้ในไทย โดยจะใช้โรงงานของบริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ทั้งนี้นอกจากแจกจ่ายในไทยเองแล้ว ยังจะทำให้วัคซีนโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะเพื่อให้ประชากรในภูมิภาคอาเซียนเข้าถึงด้วย
และในวันเดียวกันนั้น ซิโนฟาร์ม บริษัทยายักษ์ใหญ่ของจีน เปิดเผยผลการทดลองขั้นที่ 3 นั่นคือในกลุ่มประชากรขนาดใหญ่ โดยระบุ พบว่าวัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิดถ 79.34% นับเป็นครั้งแรกที่บริษัทจีนออกมาเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพวัคซีนของพวกตนในการต่อสู้กับไวรัสโคโรนา
จีนกำลังแข่งกับตะวันตกในการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 โดยมีวัคซีน 5 ตัวอยู่ระหว่างการทดลองทางคลินิกเฟส 3
อย่างไรก็ดี การขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับผลการทดลอง ทำให้วัคซีนของจีนไม่ใคร่ได้รับความไว้วางใจจากนานาชาติ กระนั้น การที่ปักกิ่งให้สัญญาว่า จะแบ่งปันวัคซีนในราคาที่เป็นธรรมอาจเป็นข่าวดีสำหรับประเทศยากจนในเอเชีย
สำหรับวัคซีนของซิโนฟาร์มนั้น สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เป็นต่างชาติประเทศแรกที่อนุมัติวัคซีนของจีน โดยระบุผลลัพธ์ชั่วคราวจากการทดลองเฟส 3 พบว่า มีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด 86%
(ที่มา: เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี, บีบีซีนิวส์)