รัฐโคโลราโด รายงานพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์เคสแรกของอเมริกา ตัวเดียวกับที่พบในสหราชอาณาจักรเมื่อเร็วๆนี้ จากการเปิดเผยของผู้ว่าการรัฐในวันอังคาร(29ธ.ค.)
"เราพบเคสโควิด-19 กลายพันธุ์ B.1.1.7 เคสแรกของโคโลราโด สายพันธุ์เดียวกับที่พบในสหราชอาณาจักร" จาเรด โพลิส ผูุ้ว่าการรัฐเขียนบนทวิตเตอร์
ในข้อความบนทวิตเตอร์ โพลิสได้แนบถ้อยแถลงอย่างเเป็นทางการของสำนักงานผู้ว่าการและเจ้าหน้าที่สาธารณสุขแห่งรัฐ ที่บอกว่าบุคคลผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ เป็นชายอายุ 20 ปีเศษๆ และเวลานี้กักโรคอยู่ในเอลเบิร์ต เคาน์ตี และไม่มีประวัติด้านการเดินทาง
ถ้อยแถลงระบุว่าบุคคลนี้ไม่มีผู้สัมผัสใกล้ชิด แต่จะมีการจับตาสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป และเจ้าหน้าที่กำลังทำงานเพื่อค้นหาความเป็นไปได้ที่อาจมีเคสอื่นๆอีก ผ่านการติดตามผูุ้สัมผัสใกล้ชิด
หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์รายงานว่าเคสโคโลราโดกลายเป็นเคสแรกเท่าที่ทราบ ของการพบตัวกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสหรัฐฯ หลังจากก่อนหน้านี้ทวีปอเมริกาพบเคสผู้ติดเชื้อโควิด-19 กลายพันธุ์ 2 รายแรกในแคนาดา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
มีความกังวลอย่างยิ่งเกี่ยวกับสายพันธุ์ใหม่ของโควิด-19 เนื่องจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามีความเป็นไปได้ที่มันจะแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าเดิม
ตามข้อมูลของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป (ECDC)ระบุว่าเวลานี้พบเคสกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แล้วมากกว่า 3,000 รายในสหราชอาณาจักร อีกหลายสิบประเทศในยุโรปและทั่วโลก
ในแอฟริกาใต้ พบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์อีกตัวมากกว่า 300 เคส และยุโรปยืนยันพบเคสผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ตัวเดียวกับในแอฟริกาใต้ 3 ราย ในนั้น 2 รายอยู่ในสหราชอาณาจักรและ 1 คนอยู่ในฟินแลนด์ อย่างไรก็ตามทั้ง 3 คน เกี่ยวข้องกับบุคคลที่เดินทางกลับมาจากแอฟริกาใต้
ศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป ระบุในวันอังคาร(29ธ.ค.) ว่ามีความเสี่ยงสูงที่การค้นพบเชื้อกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด-19 จะก่อความตึงเครียดเพิ่มเติมแก่ระบบสาธารณสุข และทำให้มีคนเสียชีวิตมากขึ้น เนื่องจากเชื้อแพร่กระจายได้ง่ายกว่าเดิม
รายงานของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรคแห่งยุโรป ระบุ "แม้ยังไม่มีข้อมูลว่าผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ตัวกลายพันธุ์มีอาการรุนแรงกว่าเก่า แต่ข้อเท็จจริงคือการที่มันแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่าเดิม จึงประเมินได้ว่ามันอาจส่งผลกระทบต่อจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและผู้เสียชีวิต"
(ที่มา:เอเอฟพี)
