สภาผู้พิทักษ์ของอิหร่าน (Guardian Council) อนุมัติร่างกฎหมายซึ่งกำหนดให้รัฐบาลสั่งห้ามเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเข้าตรวจสอบโรงงานนิวเคลียร์ และยกระดับเสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้เกินกว่าเพดานสูงสุดที่ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ระบุไว้ หากบทลงโทษทางเศรษฐกิจที่นานาชาติใช้กับเตหะรานไม่ถูกผ่อนคลายลงภายใน 2 เดือน
ร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอิหร่าน ซึ่งนักการเมืองสายฮาร์ดไลน์คุมเสียงข้างมาก และถูกมองว่า เป็นการตอบโต้ต่อกรณีการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์คนสำคัญของเตหะรานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งอิหร่านเชื่อว่าเป็นฝีมืออิสราเอล
สภาผู้พิทักษ์มีหน้าที่พิจารณาตรวจสอบร่างกฎหมายต่างๆ ไม่ให้ขัดแย้งกับกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะห์) หรือรัฐธรรมนูญของประเทศ ทว่า อำนาจตัดสินชี้ขาดกิจการของรัฐยังคงอยู่ที่ “อยาตอลเลาะห์ อาลี คอเมเนอี” ผู้นำสูงสุดอิหร่าน
“วันนี้ประธานรัฐสภาได้ส่งจดหมายแจ้งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการให้บังคับใช้กฎหมายใหม่” สำนักข่าวฟาร์สซึ่งเป็นสื่อกึ่งทางการของอิหร่านรายงาน
กฎหมายฉบับนี้วางเงื่อนไขให้ชาติยุโรป ซึ่งเป็นรัฐภาคีในแผนปฏิบัติการร่วมฉบับสมบูรณ์ (Joint Comprehensive Plan of Action หรือ JCPOA) หรือที่เรียกกันว่า ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ต้องผ่อนคลายมาตรการคว่ำบาตรน้ำมันและภาคการเงินของอิหร่านภายใน 2 เดือน
บทลงโทษเหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่สหรัฐฯ ประกาศถอนตัวออกจากข้อตกลงนิวเคลียร์เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2018 และเตหะรานได้ตอบโต้นโยบาย “กดดันขั้นสูงสุด” ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ด้วยการทยอยละเมิดเงื่อนไขข้อตกลงไปทีละน้อย
กฎหมายใหม่ที่ถูกเสนอโดยกลุ่ม ส.ส.ฮาร์ดไลน์ของอิหร่านคาดว่า จะทำให้ “โจ ไบเดน” ซึ่งจะสาบานตนเป็นผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ในวันที่ 20 ม.ค. ปีหน้า นำอเมริกากลับคืนสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก
ไบเดน ระบุว่า เขาพร้อมที่จะนำสหรัฐฯ กลับเข้าร่วม JCPOA อีกครั้ง และจะยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรที่ ทรัมป์ รื้อฟื้น หากเตหะรานรับปากว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของข้อตกลงอย่างเคร่งครัด
อาเรียเน ทาบาทาไบ นักวิจัยด้านตะวันออกกลางจากกองทุนเยอรมันมาร์แชลล์ และ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ชี้ว่า “ประธานาธิบดี ฮัสซัน รูฮานี กำลังเผชิญแรงกดดันมากขึ้นให้ต้องโน้มน้าวสหรัฐฯ กลับเข้าร่วม JCPOA อย่างรวดเร็ว”
รูฮานี ซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีในการนำอิหร่านเข้าร่วมข้อตกลงนิวเคลียร์กับกลุ่มมหาอำนาจ P5+1 ตำหนิท่าทีของรัฐสภาว่ากำลัง “บ่อนทำลายความพยายามทางการทูต” ที่มุ่งหวังให้สหรัฐฯ ผ่อนคลายคว่ำบาตร
ภายใต้กฎหมายฉบับใหม่ รัฐบาลอิหร่านจะต้องเพิ่มการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมสู่ระดับ 20% อีกครั้ง และนำเครื่องหมุนเหวี่ยงวัสดุนิวเคลียร์ (centrifuges) อันทันสมัยเข้าไปติดตั้งที่โรงงานนิวเคลียร์ในเมืองนาตันซ์ (Natanz) และ ฟอร์โด (Fordow)
JCPOA กำหนดให้อิหร่านสามารถเสริมสมรรถนะยูเรเนียมให้มีความบริสุทธิ์ได้ไม่เกิน 3.67% ซึ่งต่ำกว่าระดับ 20% ที่อิหร่านเคยผลิตได้ในช่วงก่อนทำข้อตกลง และห่างไกลจาก “ยูเรเนียมเกรดอาวุธ” ที่จะต้องมีความบริสุทธิ์สูงถึง 90%
อย่างไรก็ตาม อิหร่านได้ละเมิดเพดาน 3.67% ในเดือน ก.ค. ปี 2019 และเริ่มผลิตยูเรเนียมเสริมสมรรถนะ 4.5% อย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นมา
อังกฤษ, ฝรั่งเศส และเยอรมนี ซึ่งเป็น 3 ชาติยุโรป ใน JCPOA เรียกร้องให้รัฐบาลเตหะรานเคารพเงื่อนไขของข้อตกลงที่ทำร่วมกันไว้
ที่มา: รอยเตอร์