หลังขัดขืนมานานหลายสัปดาห์ ในที่สุดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯในวันจันทร์ (23 พ.ย.) อนุญาตให้เจ้าหน้าที่เดินหน้ากระบวนการถ่ายโอนอำนาจสู่ว่าที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน เปิดทางให้คู่แข่งจากเดโมแครตรับฟังรายงานสรุปต่างๆ และเข้าถึงเงินทุน แต่ขณะเดียวกันเขาก็ประกาศลั่นยังไม่ละความพยายามคัดค้านผลเลือกตั้ง
ทรัมป์ ตัวแทนจากรีพับลิกัน กล่าวอ้างโดยไม่ได้มอบหลักฐานใดๆ ว่า มีการโกงอย่างกว้างขวางในศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน และแม้ยังไม่ยอมรับชัยชนะของไบเดน แต่ถ้อยแถลงในวันจันทร์ (23 พ.ย.) ถือเป็นท่าทีที่ใกล้เคียงที่สุด ว่าเขากำลังยอมรับความปราชัย
สำนักบริหารงานบริการทั่วไปของสหรัฐฯ (General Services Administration - GSA) หน่วยงานรัฐบาลกลางที่รับผิดชอบการถ่ายโอนอำนาจ ได้แจ้งกับไบเดนในวันจันทร์ (23 พ.ย.) ว่าเขาสามารถเริ่มต้นกระบวนการรับมอบอำนาจอย่างเป็นทางการ โดย เอมิลี เมอร์ฟีย์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารงานบริการทั่วไปของสหรัฐฯ ระบุในหนังสือว่าเวลานี้ ไบเดน สามารถเข้าถึงทรัพยากรต่างๆ ที่ก่อนหน้านี้ เขาถูกปฏิเสธ เนื่องจากมีการยื่นคัดค้านทางกฎหมายหาทางล้มผลเลือกตั้ง
ถ้อยแถลงนี้มีขึ้นไม่นาน หลังจากเจ้าหน้าที่รัฐมิชิแกน รับรองอย่างเป็นทางการให้ ไบเดน เป็นผู้ได้รับชัยชนะในรัฐ ส่งผลให้ความพยายามทางกฎหมายของทรัมป์ ในการเปลี่ยนผลเลือกตั้ง ยิ่งมีความเป็นไปได้ลดน้อยถอยลงไปอีก
ทรัมป์และคณะที่ปรึกษาบอกว่าเขาจะยังคงเดินหน้าเสาะหาลู่ทางทางกฎหมายต่อไป แต่ข้อความในทวิตเตอร์ล่าสดของเขา เป็นสัญญาณบ่งบอกได้อย่างดีว่า แม้แต่ทำเนียบขาวเองก็ตระหนักดีกว่าพวกเขาใกล้ถึงเวลาที่ต้องก้าวไปข้างหน้าแล้ว
“คดีอันหนักแน่นของเราะเดินหน้าต่อไป เราจะเดินหน้าสู้ต่อ และผมเชื่อว่าเราจะเป็นฝ่ายชนะ! อย่างไรก็ตาม เพื่อผลประโยชน์ที่ดีที่สุดของประเทศชาติ ผมแนะนำให้ เอมิลีและคณะทำงานของเธอทำในสิ่งที่ต้องทำ ในเรื่องเกี่ยวกับระเบียบพิธีการต่างๆ ในเบื้องต้น และบอกกับคณะทำงานของผม ให้ทำแบบเดียวกัน” ทรัมป์เขียนบนทวิตเตอร์
ที่ปรึกษารายหนึ่งของทรัมป์ ระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็คล้ายกับเมื่อครั้งที่ทั้งสองผู้สมัครรับเลือกตั้งได้รับฟังการบรรยายสรุประหว่างหาเสียง และยืนยันว่า ข้อความบนทวิตเตอร์ของประธานาธิบดี ไม่ใช่การยอมรับความพ่ายแพ้
ด้านทีมเปลี่ยนถ่ายอำนาจของไบเดน เปิดเผยในถ้อยแถลงว่าจะมีการเริ่มประชุมกับบรรดาเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลาง เกี่ยวกับแนวทางตอบสนองต่อโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เช่นเดียวกับหารือในประเด็นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ
ความเคลื่อนไหวของ GSA นั่นหมายความว่าเวลานี้คณะทำงานของไบเดน จะเข้าถึงเงินทุนของรัฐบาลกลาง และมีสำนักงานอย่างเป็นทางการสำหรับดำเนินการถ่ายโอนอำนาจ จนกว่าจะสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม นอกจากนี้แล้วมันยังเปิดทางให้ ไบเดน และว่าที่รองประธานาธิบดี กมลา แฮร์ริส รับฟังบรรยายสรุปด้านความมั่นคงแห่งชาติ เช่นเดียวกับทรัมป์
ก่อนหน้านี้ ในวันจันทร์ (23 พ.ย.) ไบเดน เปิดเผยรายชื่อสมาชิกระดับสูงในคณะทำงานด้านนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งคับคั่งไปด้วยบรรดาผู้ทรงคุณวุฒิสมัยประธานาธิบดี บารัค โอบามา ยุติยุคแห่งความวุ่นวายภายใต้การบริหารของทรัมป์ และหวนคืนสู่การทูตแบบดั้งเดิมของสหรัฐฯ
ไบเดน ไว้วางใจให้ แอนโทนีย์ บลินเคน ผู้ช่วยคนสนิทเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และ จอห์น เคอร์รี อดีตวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ และตัวแทนพรรคเดโมแครตชิงเก้าอี้ประธานาธิบดี 2004 เป็นทูตพิเศษด้านโลกร้อน
นอกจากนี้แล้ว ไบเดน ยังเสนอชื่อสตรีคนแรกในฐานะหัวหน้าข่าวกรอง คนเชื้อสายละตินรายแรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และผู้หญิงคนแรกในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
รายชื่อที่เปิดเผยโดยคณะทำงานของไบเดน ก่อนมีการแถลงอย่างเป็นทางการในวันอังคาร (24 พ.ย.) แสดงให้เห็นถึงความพยายามนำพาสหรัฐฯ หวนคืนสู่บทบาทแกนนำของพันธมิตรพหุภาคี สวนทางกับนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์
บลินเคน จะเป็นหัวหอกในการรื้อถอนนโยบายก้าวเดินเพียงลำพังของทรัมป์ ในนั้นรวมถึงกลับเข้าร่วมข้อตกลงโลกร้อนปารีสและองค์การอนามัยโลก เช่นเดียวกับรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านที่เห็นชอบกันในสมัยของโอบามา
เอฟวริล เฮนส์ จะได้รับการเสนอชื่อจาก ไบเดน เป็นผู้หญิงคนแรกในตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐฯ ส่วน อเลฮานโดร มายอร์กาส จะเข้ามานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ หน่วยงานที่ดำเนินนโยบายเข้มข้นจำกัดคนเข้าเมืองในยุคสมัยของทรัมป์ ซึ่งบ่อยครั้งมันเป็นบ่อเกิดของประเด็นถกเถียงในวงกว้าง
เจค ซุลลิแวน ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษาของไบเดน เมื่อครั้งที่เขาเป็นรองประธานาธิบดีในสมัยของโอบามา ได้รับการเสนอชื่อเป็นที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติ
เจเน็ต เยลเลน ถูกเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ซึ่งหากได้รับการรับรอง เธอจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้นั่งเก้าอี้ตัวนี้ โดยเธอก้าวขึ้นเป็นประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสมัยของโอบามา ปี 2014 ก่อนถูกทรัมป์หาคนมานั่งเก้าอี้แทน ในอีก 4 ปีต่อมา
(ที่มา: รอยเตอร์/เอเอฟพี)