เอเจนซีส์ - ยอดผู้ติดเชื้อรายวันในอเมริกาของโรคโควิด-19 ทำสถิติใหม่ในวันพุธ (4 พ.ย.) ด้วยตัวเลขใกล้ๆ หรือกระทั่งเลย 1 แสนคน เวลาเดียวกันจำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเมื่อวันอังคาร (3) ยังทะลุ 50,000 คนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ส่วนทางด้านสหราชอาณาจักรต้องเริ่มบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วทั้งแคว้นอังกฤษเป็นรอบที่สองเมื่อวันพฤหัสบดี (5)
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า 9 มลรัฐของอเมริกา ได้แก่ โคโรลาโด ไอดาโฮ อินเดียนา เมน มิชิแกน มินนิโซตา โรดไอส์แลนด์ วอชิงตัน และ วิสคอนซิน ต่างมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดในวันเดียวในรัฐของตนเมื่อวันพุธ
ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันรวมทั่วสหรัฐฯ ซึ่งรอยเตอร์รวบรวมและรายงานในวันพุธคือ 102,591 คน ลบสถิติเดิมที่ทำไว้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม ซึ่งอยู่ที่ 100,233 คน รวมทั้งยังถือเป็นสถิติสูงสุดใหม่ของทั่วโลกอีกด้วย
ทางด้านสำนักข่าวเอเอฟพีได้รายงานตัวเลขที่รวบรวมโดยมหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ ซึ่งออกมาว่า ระหว่างเวลา 20.30 น.วันอังคาร ถึง 20.30 น.วันพุธ สหรัฐฯพบผู้ป่วยรายใหม่รวม 99,660 ราย และระบุเช่นกันว่าตัวเลขนี้ถือว่าสูงสุดเป็นสถิติใหม่
ข้อมูลของจอห์น ฮอปกินส์ ยังระบุด้วยว่า ระหว่างช่วง 24 ชั่วโมงดังกล่าว ในสหรัฐฯมีผู้เสียชีวิตจากโควิดจำนวน 1,112 คน ทำให้ยอดสะสมป็น 233,000 คน ส่วนจำนวนติดเชื้อสะสมอยู่ที่กว่า 9.4 ล้านคน
รายงานของรอยเตอร์ยังระบุว่า จำนวนผู้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจากไวรัสโคโรนาในวันอังคารทะลุ 50,000 คนเป็นครั้งแรกในรอบ 3 เดือน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 850 คน จาก 700 คนเมื่อเดือนที่แล้ว
วิกฤตโรคระบาดส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอเมริกันในเกือบทุกแง่มุม ซึ่งรวมถึงการที่มีผู้ออกเสียงกว่า 100 ล้านคนไปใช้สิทธิ์ก่อนถึงวันเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันอังคาร ซึ่งกลายเป็นการทำสถิติใหม่
ข้ามฟากมาทางสหราชอาณาจักร ประชาชนทั่วทั้งแคว้นอังกฤษจำนวน 56 ล้านคน เข้าสู่มาตรการล็อกดาวน์รอบสองในวันพฤหัสฯ (5) ท่ามกลางความไม่แน่ใจซึ่งมีมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายเข้มงวดเพื่อป้องกันวิกฤตโรคระบาด โดยมาตรการครั้งนี้ มีดังเช่น การทำงานจากที่บ้านหากทำได้ และการปิดร้านค้าและบริการทั้งหมดที่ไม่จำเป็น ซึ่งรวมถึงผับ บาร์ ร้านอาหาร แต่โรงเรียนยังเปิดตามปกติ
นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ประกาศยกเลิกระบบที่บังคับใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นการควบคุมการระบาดเป็นบางพื้นที่ และหันมาล็อกดาวน์ทั่วทั้งอังกฤษ หลังหน่วยงานสาธารณสุขตือนว่า ในเร็ววันนี้โรงพยาบาลอาจไม่สามารถรองรับผู้ป่วยโควิด-19 ได้อีกต่อไป ขณะจำนวนผู้เสียชีวิตก็ทำสถิติสูงสุดในรอบ 6 เดือน
แต่ถึงแม้ผลสำรวจความคิดเห็นบ่งชี้ว่า สังคมโดยรวมสนับสนุนนโยบายกักตัวอยู่บ้าน กลับมีความกังวลมากขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและสุขภาพจิต โดยเมื่อวันพุธ สมาชิกรัฐสภา 32 คนจากพรรคอนุรักษนิยมซึ่งเป็นพรรครัฐบาล ได้โหวตคัดค้านมาตรการล็อกดาวน์ครั้งใหม่
ทั้งนี้ ตอนที่ใช้มาตรการล็อกดาวน์ทั่วแคว้นอังกฤษครั้งแรกในเดือนมีนาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประชาชนให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี แต่เมื่อมาตรการต่อต้านไวรัสโคโรนาลากยาวเข้าสู่ฤดูหนาว การปฏิบัติตามก็หย่อนยานลงเรื่อยๆ เนื่องจากชีวิตความเป็นอยู่ได้รับผลกระทบมากขึ้น
ผลการศึกษาฉบับใหม่ที่คิงส์ คอลเลจ ลอนดอนสำรวจจากประชาชนวัยผู้ใหญ่กว่า 6,000 คน พบว่า 1 ใน 4 เชื่อว่า ตัวเองเคยติดโควิด-19 แล้วในการระบาดรอบแรก ซึ่งมากกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อที่นักวิจัยของรัฐบาลประเมิน
หลายคนที่ร่วมแสดงความคิดเห็นยังบอกว่า การที่ตัวเองเคยติดเชื้อทำให้มีภูมิต้านทานและไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกฎล็อกดาวน์
ทั้งนี้ จอห์นสัน ย้ำว่า มาตรการล่าสุดจะสิ้นสุดลงอัตโนมัติในวันที่ 2 ธันวาคม ซึ่งอังกฤษจะเปลี่ยนไปใช้ระบบจัดระดับการควบคุมตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่อีกครั้ง
สหราชอาณาจักร โดยเฉพาะแคว้นอังกฤษ เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรนาหนักที่สุดในโลก ด้วยจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 48,000 คน และผู้ติดเชื้อกว่า 1 ล้านคน
วันพุธมีรายงานผู้เสียชีวิต 192 คนภายใน 28 วันนับจากตรวจพบว่าติดเชื้อ ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดนับจากช่วงกลางเดือนพฤษภาคม
ในสหราชอาณาจักร นอกจากอังกฤษแล้ว ทั้งแคว้นสกอตแลนด์ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ต่างบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ เช่นเดียวกับอีกหลายประเทศในสหภาพยุโรป ซึ่งรวมถึงฝรั่งเศสและเยอรมนี