ผู้ออกเสียงที่เป็นหญิงอเมริกันผิวขาวซึ่งพำนักอาศัยตามย่านชานเมือง เป็นกลุ่มประชากรที่สำคัญมากกลุ่มหนึ่ง ที่ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ เอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน ในรัฐสมรภูมิสำคัญๆ หลายแห่ง และทำให้เขาชนะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯในการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีที่แล้ว
ด้วยการที่ทรัมป์มีชัยในเรื่องเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (electoral colleges) ซึ่งคิดตามคะแนนโหวตในแต่ละรัฐเป็นสำคัญ ถึงแม้เขาพ่ายแพ้ในเรื่องจำนวนผู้ออกเสียงที่ลงคะแนนให้ (popular votes) เกือบๆ 3 ล้านเสียง
เวลานี้ขณะเหลือเวลาอีกแค่ 3-4 วันก่อนถึงวันเลือกตั้ง 3 พฤศจิกายน ประธานาธิบดีทรัมป์ก็กำลังร้องวอนให้หญิงอเมริกาย่านชานเมืองช่วยโหวตให้เขา โดยที่โพลของสำนักต่างๆ ชี้ว่า คำอุทธรณ์ของเขาไม่ได้รับการตอบสนองแต่อย่างใด
“ผมขอร้องพวกคุณช่วยผมหน่อยได้ไหม คุณผู้หญิงย่านชานเมืองทั้งหลาย? คุณจะกรุณาชอบผมหน่อยได้ไหม?” ทรัมป์พูดเช่นนี้ระหว่างการปราศัยหาเสียงครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคมนี้ที่รัฐเพนซิลเวเนีย “ได้โปรดเถอะ ได้โปรดเถอะ ผมเป็นคนช่วยไอ้ย่านชุมชนของคุณให้ปลอดภัยนะ โอเคนะ?”
ประธานาธิบดีพรรครีพับลิกันผู้นี้อาจจะพูดยืนยันอยู่เรื่อยๆ ว่า “พวกผู้หญิงนะเค้าชอบทรัมป์จริงๆ นะ” แต่ผลการสำรวจความคิดเห็นกลับให้ภาพที่แตกต่างออกไป โดยที่ โจ ไบเดน ผู้สมัครของพรรคเดโมแครต มักเป็นผู้นำแบบทิ้งห่างมากกว่า 20% ในกลุ่มสตรีย่านชานเมือง
เมื่อปี 2016 ฮิลลารี คลินตัน ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีโอกาสใกล้มากจริงๆ ที่จะได้ครองทำเนียบขาว ชนะได้โหวตกว่าครึ่งหนึ่งของผู้ออกเสียงที่เป็นสตรี –ยกเว้นพวกผู้หญิงผิวขาว
กว่าครึ่งหนึ่งของพวกเธอยังคงให้การสนับสนุนทรัมป์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าวันเลือกตั้งครั้งนั้นไม่นาน มีการเผยแพร่คลิปเสียงที่อัดกันไว้เมื่อปี 2005 ซึ่งในคลิปดังกล่าว เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์และพิธีกรเรียลลิตี้โชว์ผู้นี้ คุยอวดว่า เขาสามารถ “คว้าหมับ” เข้าที่ของสงวนของผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่เขาต้องการ
แต่เมื่อถึงการเลือกตั้งกลางสมัยในปี 2018 การที่สตรีผิวขาวย่านชานเมืองมีแนวโน้มสนับสนุนพรรครีพับลิกันลดลงอย่างชัดเจน เป็นเหตุทำให้พรรคของทรัมป์สูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร
ในปี 2016 ทรัมป์ชนะเสียงโหวตโดยรวมในย่านชานเมืองเหนือคลินตัน ในระดับ 47% ต่อ 45%
อย่างไรก็ตาม ในปี 2020 นี้ ไบเดนคือผู้นำ โดยทิ้งห่างถึง 10% ในกลุ่มผู้ออกเสียงแถบชานเมืองซึ่งมีความสำคัญมากนี้ และตามเว็บไซต์เสนอผลโพล FiveThirtyEight เป็นเพราะเสียงโหวตของผู้หญิงนั่นเองซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบยูเทิร์นเช่นนี้
พฤติกรรมของทรัมป์ ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นพวกเหยียดเพศ, พวกชังหญิง, และพวกตกยุค นั่นแหละ เป็นที่เชื่อกันว่าคือสาเหตุข้อสำคัญที่สุด และเขาก็ได้ให้ตัวอย่างชัดๆ อีกอันหนึ่งในเรื่องนี้ที่รัฐแอริโซนาเมื่อวันพุธ (28 ต.ค.) ที่แล้ว
ระหว่างการปราศรัยหาเสียง เขาพูดเร่งให้ วุฒิสมาชิกหญิงจากรัฐแอริโซนา มาร์ธา แมคแซลลี ซึ่งสังกัดพรรครีพับลิกันและกำลังตกอยู่ในอันตรายจะสูญเสียที่นั่งของเธอที่ตัดสินกันในการเลือกตั้งวันที่ 3 พ.ย. ด้วย ให้ขึ้นมาบนเวที
“มาร์ธา รีบขึ้นมาเร็วๆ เร็วเลย เร็วเลย มาซิ รีบเลย” เขาบอกเธอแบบฉับพลันทันด่วน “คุณมีเวลาแค่นาทีเดียวนะ! นาทีเดียว มาร์ธา! พวกเขาไม่ต้องการฟังหรอกนะ มาร์ธา มาเลย เอ้า เริ่มเลย”
“ความคิดเห็นที่ปวดแสบปวดร้อน”
เบตซี ฟิชเชอร์ มาร์ติน ผู้อำนวยการบริหารของสถาบันสตรีและการเมือง แห่งมหาวิทยาลัยอเมริกัน (American University) บอกว่า จากการวิจัยเกี่ยวกับการเลือกตั้งกลางสมัยเมื่อปี 2018 ได้พบว่า “ความคิดเห็นที่ปวดแสบปวดร้อน” ของทรัมป์นั่นเอง คือ “แหล่งที่มาของความกลุ้มใจอย่างรุนแรง” สำหรับพวกผู้หญิง
“ในหมู่ผู้หญิงที่ระบุว่าตนเองเป็นรีพับลิกันนั้น เกือบครึ่งหนึ่งทีเดียวกล่าวว่าวาจาคำพูดของเขานั้นสร้างความเจ็บปวดให้พวกเธอในแบบเป็นการส่วนตัว” ฟิชเชอร์ มาร์ติน บอก “และในหมู่สตรีผิวขาวย่านชานเมือง 51% กล่าวว่า พวกเธอพบว่าภาษาและน้ำเสียงของเขา ‘ทำให้เกิดความกลุ่มใจมากๆ’”
พวกที่ยังคงสนับสนุนเขาถึงแม้มีความรู้สึกไม่พอใจ ได้ยอมมองข้ามความรู้สึกเช่นนี้ไป เพราะ “เห็นแก่การกระทำและนโยบายของเขา ซึ่งกำลังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญกับพวกเธอมากกว่า” เธออธิบาย
แต่เมื่อมาถึงปี 2020 “โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการรับมือกับไวรัสของเขา –พวกเธอก็ไม่ยินยอมปล่อยให้เขาผ่านไปอีกแล้ว” เธอกล่าวต่อ
ทรัมป์ใช้ความพยายามอย่างมากในการรณรงค์หาเสียงของเขาขณะนี้ เพื่อทำให้สตรีย่านชานเมืองมั่นใจที่จะโหวตให้เขา
เขาถูกกล่าวหาว่ากำลังเติมเชื้อเพลิงให้แก่ความตึงเครียดระหว่างคนต่างผิวต่างเชื้อชาติ จากการที่เขาอ้างว่า ไบเดนต้องการที่จะ “ทำลาย” ชุมชนชานเมืองทั้งหลาย ตลอดจน “ความฝันแบบอเมริกัน” และนำเอาการประท้วง, อาชญากรรม, และความวุ่นวายมาสู่ย่านชุมชนของพวกเธอ
ทรัมป์มักอ้างอยู่เป็นประจำว่า พวกเดโมแครตจะโยกย้ายเอาพวกโครงการที่พักอาศัยราคาถูกมาสร้างกันในแถบชานเมืองเหล่านี้ ซึ่งจะเป็นอันตรายแก่ชุมชนชานเมืองสะอาดสะอ้านที่ประกอบด้วยบ้านเดี่ยวอยู่กันแบบครอบครัวเดียว ที่เขาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ชาวอเมริกันผิวขาวชื่นชมทะนุถนอม
ประธานาธิบดีวัย 74 ปีผู้นี้ยังทำให้เกิดความกังขาไม่เห็นด้วยขึ้นมาในสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อเขาพูดถึงผู้หญิงระหว่างการหาเสียงในรัฐมิชิแกน ซึ่งให้ภาพของครอบครัวในยุคทศวรรษ 1950 มากกว่ายุคทศวรรษ 2020
หลังจากพูดอวดเรื่องเขากำลังนำเอาเด็กๆ กลับไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน ทรัมป์ก็บอกว่า “แล้วพวกคุณรู้อะไรไหม? ... เรากำลังนำเอาสามีของพวกคุณๆ กลับไปทำงานด้วยนะ!”
“เขาคิดว่าเขาอยู่ในยุคทศวรรษไหนกันนะ?” เป็นเสียงตอบโต้จาก แนนซี เปโลซี ส.ส.เดโมแครตที่ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรเวลานี้ “เขาคิดว่าเขาอยู่ในศตวรรษไหมกันนะ?”
เปโลซีพูดเย้ยต่อไปว่า ข้อความนี้ของทรัมป์ “ไม่ใช่ความเป็นจริงด้วยซ้ำไป” จากการที่ผู้คนเป็นล้านๆ ไม่มีงานทำ และโรงเรียนจำนวนมากก็ยังปิดอยู่เนื่องจากโรคระบาดไวรัสโคโรนา
“ช่างถูกตัดขาดอย่างสมบูรณ์แบบเลยจากความเป็นจริงต่างๆ ของชีวิต” เธอกล่าว
สำหรับผู้หญิงนั้น ก็เฉกเช่นเดียวกับชุมชนย่านชานเมืองต่างๆ ของสหรัฐฯ ต่างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงตลอดช่วงหลายๆ ทศวรรษที่ผ่านมา
ในปี 2016 คุณแม่ที่อยู่กับบ้านมีจำนวนเท่ากับแค่เพียง 27% ของผู้หญิงชาวอเมริกันทั้งหมด เปรียบเทียบกับ 49% เมื่อช่วง 50 ปีก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ตามผลการศึกษาของ พิว รีเสิร์ช เซนเตอร์
และในปี 2020 ผู้หญิงทำงานจำนวนมากก็อยู่ในกลุ่มเหยื่อของวิกฤตการณ์โควิด-19 โดยกำลังสูญเสียงานการของพวกเธอ หรือถูกบังคับให้ต้องหยุดทำงานเพื่อมาดูแลลูกๆ
“ทุกวันนี้ ผู้หญิงตามย่านชานเมืองมีความกังวลเกี่ยวกับโควิด และสุขภาพของครอบครัวของพวกเธอ มากกว่าที่พวกเธอจะใส่ใจกับความคิดที่ดูห่างไกลออกไปในเรื่องเกี่ยวกับพวกผู้ประท้วงในย่านชุมชนของพวกเธอ” ฟิชเชอร์ มาร์ติน กล่าวกับสำนักข่าวเอเอฟพี
(เก็บความจากเรื่อง Do suburban women like Trump? Polls say no ของสำนักข่าวเอเอฟพี)