สหรัฐฯ รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นกว่า 100,000 คนในรอบ 24 ชั่วโมงเมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ทำลายสถิติ 91,000 คนในวันก่อนหน้า ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ออกมากล่าวหาแพทย์ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยโควิดเสียชีวิตลง
ทั้งนี้ ตัวเลขผู้ป่วยรายวัน 100,233 คนยังถือเป็นสถิติสูงสุดของโลก แซงหน้ายอดผู้ป่วยรายวัน 97,894 คนในอินเดียเมื่อเดือน ก.ย.
ในรอบ 10 วันที่ผ่านมา มีอยู่ 5 วันที่ยอดผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐฯ พุ่งทำลายสถิติสูงสุด 77,299 คนเมื่อเดือน ก.ค. และจากยอดรวมผู้ติดเชื้อในช่วง 2 วันที่ผ่านมาบ่งชี้ว่าอเมริกากำลังมีผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้น 1 รายในทุกๆ 1 วินาที
ตัวเลขผู้ป่วยสะสมในสหรัฐฯ ณ วันที่ 30 ต.ค. พุ่งแตะหลัก 9 ล้านคน หรือคิดเป็น 3% ของประชากรทั้งประเทศ โดยสถานการณ์อันน่าวิตกนี้เกิดขึ้นเพียง 4 วันก่อนศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.
16 รัฐในอเมริการายงานยอดผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อวานนี้ (3) ขณะที่ 13 รัฐมีผู้ป่วยโควิด-19 เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมากสุดเท่าที่เคยเป็นมา
ยอดผู้เสียชีวิตใน 24 ชั่วโมงยังพุ่งเกิน 1,000 รายอีกครั้งเมื่อวันพฤหัสบดี (29) ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3 แล้วในเดือน ต.ค.
ประธานาธิบดีทรัมป์ และ โจ ไบเดน คู่ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต ต่างเดินสายพบปะชาวอเมริกันเพื่อเรียกคะแนนในช่วงโค้งสุดท้ายที่รัฐแถบมิดเวสต์เมื่อวานนี้ (30) โดย ทรัมป์ อ้างว่าถ้า ไบเดน ได้เป็นประธานาธิบดีก็จะห้ามไม่ให้ประชาชนรวมตัวกันในช่วงวันหยุดหรือโอกาสพิเศษต่างๆ ขณะที่ ไบเดน ก็โจมตีประธานาธิบดีสายรีพับลิกันว่ายอมแพ้ต่อโรคระบาด
“พวกคุณต้องเร่งเปิดรัฐของตัวเอง และจะต้องทำให้เร็วที่สุด!” ทรัมป์ กล่าวกับผู้สนับสนุนที่เมืองกรีนเบย์ รัฐวิสคอนซิน
ผู้นำสหรัฐฯ ยังหันมาโจมตีระบบสาธารณสุขของอเมริกา และกล่าวหาลอยๆ ว่าบรรดาแพทย์มีแรงจูงใจที่จะทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น
“แพทย์ของเราจะได้เงินมากขึ้น ถ้ามีคนตายจากโควิด” ทรัมป์ กล่าวที่เมืองวอเตอร์ฟอร์ดทาวน์ชิป รัฐมิชิแกน
ทางด้าน ไบเดน ก็วิจารณ์ ทรัมป์ ว่า “ยอมแพ้” ในสงครามกับเชื้อไวรัส และเตือนประธานาธิบดีว่าไม่ควรโจมตีบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งทำหน้าที่รักษาผู้ป่วย
“เราจะไม่มีวันยอมแพ้ต่อไวรัสชนิดนี้ ซึ่งต่างจาก โดนัลด์ ทรัมป์” อดีตรองประธานาธิบดีสายเดโมแครตกล่าวต่อผู้สนับสนุนที่เมืองเซนต์พอล รัฐมินนิโซตา
ทั้งนี้ ไบเดน ได้จัดการปราศรัยแบบไดรฟ์-อิน โดยให้ผู้สนับสนุนนั่งอยู่ในรถยนต์ส่วนตัวเพื่อเว้นระยะห่างทางสังคม และบีบแตรเมื่อต้องการแสดงความเห็นด้วย
ที่มา : รอยเตอร์