สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) ในวันพฤหัสบดี (22 ต.ค.) อนุมัติใช้เรมเดซิเวียร์ (remdesivir) ยาต้านไวรัสของบริษัท กิลเลียด ไซเอนเซส สำหรับรักษาคนไข้โควิด-19 ที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล ทำให้มันเป็นยาตัวแรกและตัวเดียวที่ได้รับอนุญาตในสหรัฐฯ
เรมเดซิเวียร์ซึ่งเป็นยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำ เป็นหนึ่งในตัวยาที่ถูกนำมาใช้รักษาประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างที่เขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อช่วงต้นเดือน
ยาตัวนี้ถูกนำมาใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ครั้งที่สำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯอนุมัติใช้ในกรณีฉุกเฉินตามโรงพยาบาลต่างๆ หลังผลการศึกษาหนึ่งที่นำโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ(NIH)พบว่ามันช่วยลดระยะเวลาการรักษาตัวในโรงพยาบาล 5 วัน
อย่างไรก็ตาม ทางองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า จากการทดลลองรักษาโควิด-19 ด้วยวิธีการต่างๆ ของพวกเขาทั่วโลก พบว่า เรดมเดซิเวียร์ไม่ได้ส่งผลกระทบอย่างเป็นรูปธรรมต่อระยะเวลาการนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของคนไข้โควิด-19 หรือโอกาสของการอยู่รอด แม้ผลการศึกษานี้ยังไม่ผ่านการทบทวนของบรรดาผู้้เชี่ยวชาญจากภายนอก
กิลเลียด ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของความมีอคติในผลการศึกษาขององค์การอนามัยโลก ซึ่งเป็นการทดลองแบบไม่อำพราง นั่นหมายความว่าบรรดาอาสาสมัครและแพทย์ของพวกเขา ทราบว่าแต่ละคนนั้นได้รับการรักษาด้วยวิธีการใด
เรมเดซิเวียร์ จะวางจำหน่ายภายใต้แบรนด์ Veklury และมีค่าใช้จ่ายตลอดการรักษา 5 วัน ที่ 3,120 ดอลลาร์(ราว 97,500บาท) หรือ 2,340 ดอลลาร์(ราว 73,000บาท) หากเป็นการจัดซื้อโดยภาครัฐ อย่างเช่นกระทรวงการทหารผ่านศึก
กิลเลียด ระบุว่า เวลานี้กำลังผลิตของพวกเขาสามารถรองรับอุปสงค์ ณ ปัจจุบันสำหรับยาตัวดังกล่าวในสหรัฐฯ และคาดหมายว่าจะสามารถยกระดับกำลังผลิตได้เพียงพอกับความต้องการจากทั่วโลกในช่วงสิ้นเดือนตุลาคม
ทางบริษัทเผยด้วยว่า ยาของพวกเขาได้รับอนุมัติจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบหรือได้รับอนุญาตให้ในกรณีฉุกเฉินชั่วคราว อีกราว 50 ประเทศทั่วโลก นอกเหนือจากสหรัฐฯ
ในวันพฤหัสบดี (22 ต.ค.) เช่นกัน ทางสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ ยังได้อนุมัติใช้ยาเรมเดซิเวียร์ในกรณีฉุกเฉิน สำหรับรักษาคนไข้เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี ที่มีน้ำหนักมากพอที่จะสามารถรับยาฉีดเข้าเส้นเลือดดำได้
ความเคลื่อนไหวของสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ มีขึ้นในขณะที่หลายรัฐของอเมริกา ส่วนใหญ่อยู่ในแถบมิดเวสต์ รายงานพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายวัน สูงสุดนับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในวันพฤหัสบดี (22 ต.ค.) ถือเป็นหลักฐานเพิ่มเติม บ่งชี้ว่าโรคระบาดใหญ่กำลังแพร่ระบาดเร็วขึ้น ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวที่แผ่เข้ามาปกคลุมหลายพื้นที่ของประเทศ
จากการวิเคราะห์ของสำนักข่าวรอยเตอร์ พบว่า อินดีแอนา, นอร์ทดาโกตา, อิลลินอยส์, มอนแทนา, โอคลาโฮมา, ยูทาห์และโอไฮโอ มีผู้ติดเชื้อทุบสถิติสูงสุดในวันพฤหัสบดี (22 ต.ค.) ส่วนฟลอริดามีรายงานพบผู้ติดเชื้อมากกว่า 5,500 คน สูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม
ทั้งนี้ หากนับเฉพาะในเดือนตุลาคม มีอยู่ถึง 28 รัฐ ที่ทุบสถิติพบผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวันสูงสุด
นอกจากนี้แล้ว เมื่อวันพุธ (21 ต.ค.) จำนวนผู้เสียชีวิตรายวันทั่วสหรัฐฯ ยังแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 เดือน ซึ่งแนวโน้มผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นนี้มีขึ้นตามหลังตัวเลขผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องมาหลายสัปดาห์
(ที่มา : รอยเตอร์/บลูมเบิร์ก)