กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายระบบอาวุธ 3 อย่าง ให้แก่ไต้หวัน ซึ่งได้แก่ เซ็นเซอร์, ขีปนาวุธ และจรวดหลายลำกล้อง รวมมูลค่าราว 1,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะที่รัฐบาลไทเปรีบแถลงออกตัวไม่ได้คิดแข่งขันด้านอาวุธกับจีน
รอยเตอร์รายงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า ทำเนียบขาวกำลังเร่งดันข้อตกลงขายอาวุธล้ำสมัยให้แก่ไต้หวันรวม 5 ฉบับ ซึ่งจะมีมูลค่ารวมกันถึง 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ท่ามกลางความพยายามของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะยกระดับกดดันจีน
รายงานที่กระทรวงการต่างประเทศแจ้งไปยังสภาคองเกรส มีการเอ่ยถึงแท่นยิงจรวดหลายลำกล้องติดตั้งบนรถบรรทุกของ ล็อกฮีด มาร์ติน (High Mobility Artillery Rocket System - HIMARS) จำนวน 11 หน่วย ซึ่งมีสนนราคาราวๆ 436.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ, ขีปนาวุธชนิดยิงจากอากาศสู่พื้นดิน AGM-84H Standoff Land Attack Missile Expanded Response (SLAM-ER) ซึ่งผลิตโดยโบอิ้ง จำนวน 135 หัวรบ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และระบบเซ็นเซอร์ MS-119 Recce ที่ผลิตโดย คอลลินส์ แอโรสเปซ อีกประมาณ 367.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ สภาคองเกรสมีเวลา 30 วัน ที่จะพิจารณาและคัดค้านการจำหน่ายอาวุธ ซึ่งในกรณีนี้คาดว่าจะไม่มีปัญหา เนื่องจากทั้ง 2 พรรคการเมืองต่างก็มีจุดยืนร่วมในการปกป้องไต้หวัน
กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศไต้หวัน ออกมาแสดงความชื่นชมท่าทีของสหรัฐฯ และย้ำว่า ระบบอาวุธเหล่านี้จะมีส่วนช่วยยกระดับศักยภาพในการป้องกันประเทศของไทเป
“การจำหน่ายอาวุธครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า สหรัฐฯ เล็งเห็นความสำคัญในทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกและช่องแคบไต้หวัน และพร้อมที่จะสนับสนุนเราในการยกระดับศักยภาพด้านการป้องกันประเทศ” เอี๋ยน เต๋อฟา รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมไต้หวัน ระบุ พร้อมยืนยันว่า ไทเปไม่ได้มีเจตนาแข่งขันด้านอาวุธกับจีน หากแต่จำเป็นต้องคงไว้ซึ่งศักยภาพในการต่อสู้ที่เชื่อถือได้
จีนถือว่าไต้หวันเป็นเพียง “มณฑลทรยศ” ที่จะต้องถูกผนวกรวมกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของแผ่นดินใหญ่ในสักวันหนึ่ง แม้จะต้องใช้กำลังทหารก็ตาม ในขณะที่สหรัฐฯ เองก็มองไต้หวันเป็นหุ้นส่วนประชาธิปไตยที่สำคัญ และมีพันธกรณีตามกฎหมายที่จะต้องช่วยไทเปให้สามารถป้องกันตนเองได้
กระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาเตือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า การที่สหรัฐฯ ขายอาวุธให้ไต้หวัน ถือว่าคุกคามอธิปไตยและผลประโยชน์ด้านความมั่นคงของจีนอย่างร้ายแรง และเรียกร้องให้อเมริกาทบทวนแผนดังกล่าว มิเช่นนั้น ปักกิ่งก็จะ “ใช้มาตรการตอบโต้ที่ชอบธรรมและจำเป็นตามแต่สถานการณ์”
ที่มา: รอยเตอร์