โลกออนไลน์แชร์คลิปวิดีโอขณะที่ขีปนาวุธลูกหนึ่งถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้าบริเวณชายฝั่งทะเลดำของตุรกีเมื่อวานนี้ (16 ต.ค.) ซึ่งเป็นจุดที่คาดกันว่ากองทัพตุรกีจะทดสอบระบบขีปนาวุธป้องกันภัยทางอากาศ S-400 ที่สั่งซื้อจากรัสเซีย ในความเคลื่อนไหวที่เรียกเสียงประณามรุนแรงจากอเมริกา
ภาพจากคลิปวิดีโอซึ่งมีผู้บันทึกไว้ที่เมืองซินอป (Sinop) เผยให้เห็นกลุ่มควันสีขาวพุ่งเป็นทางยาวขึ้นสู่ท้องฟ้า เพียงไม่กี่วันหลังจากที่รัฐบาลตุรกีประกาศจำกัดการใช้น่านฟ้าและทะเลในพื้นที่แถบนี้เพื่อทำการทดสอบขีปนาวุธ
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ผู้ไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งยืนยันว่า ตุรกียิงทดสอบระบบขีปนาวุธ S-400 ในวันศุกร์จริง แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดเพิ่มเติม
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุดนี้คาดว่าจะกระพือความตึงเครียดระหว่างตุรกีกับสหรัฐฯ ซึ่งไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลอังการานำระบบอาวุธจากรัสเซียมาใช้ โดยอ้างว่าอาวุธดังกล่าวไม่สามารถใช้งานร่วมกับระบบป้องกันของกลุ่มนาโต และอาจเป็นภัยคุกคามต่อเครื่องบินขับไล่ F-35
มอร์แกน ออร์เตกัส โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ ได้แจ้งเตือนไปยังเจ้าหน้าที่ระดับสูงสุดของตุรกีแล้วว่าการสั่งซื้อระบบอาวุธจากรัสเซีย โดยเฉพาะขีปนาวุธ S-400 เป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และวอชิงตันคาดหวังว่าระบบดังกล่าวจะไม่ถูกนำเข้าประจำการ
“หากข่าวนี้ได้รับการยืนยัน เราก็จะขอประณามการทดสอบขีปนาวุธ S-400 ด้วยถ้อยคำรุนแรงที่สุด เพราะการทำเช่นนี้ไม่สอดคล้องกับบทบาทของตุรกีในฐานะที่เป็นพันธมิตรนาโต และเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ” ออร์เตกัส ระบุ
สหรัฐฯ ตอบโต้การสั่งซื้อขีปนาวุธ S-400 ด้วยการถอดตุรกีออกจากโครงการพัฒนาเครื่องบินขับไล่ F-35 ในปีที่แล้ว และขู่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรด้วย
ล่าสุด กระทรวงกลาโหมตุรกีแถลงว่า “ไม่ขอยอมรับหรือปฏิเสธ” เรื่องการทดสอบขีปนาวุธ
ตูราน โอกุซ นักวิเคราะห์ด้านกลาโหม ชี้ว่า จากการประเมินสีสัน, ความหนาแน่น และเส้นทางของกลุ่มควันจากคลิปวิดีโอพบว่ามีความใกล้เคียงกับระบบขีปนาวุธ S-400 และหากมองจากทิศทางของกลุ่มควันคาดว่าเป้าหมาย “น่าจะอยู่ไม่สูงมากนัก”
ปีที่แล้วกองทัพตุรกีได้ทดสอบระบบเรดาร์ของ S-400 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก โดยสามารถตรวจจับและติดตามเส้นทางของขีปนาวุธทั้งพิสัยกลางและไกลที่ถูกยิงเข้ามา
รัฐบาลตุรกีได้ทำข้อตกลงสั่งซื้อระบบ S-400 จากรัสเซียในปี 2017 โดยมอสโกเริ่มส่งมอบหมู่ขีปนาวุธ 4 หมู่แรกมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่เดือน ก.ค. ปีที่แล้ว
ที่มา: รอยเตอร์