เอเจนซีส์/MGROnline - สื่อสหรัฐฯ รุมสับผู้นำสหรัฐฯ ที่ใช้การติดโควิด-19 เป็นการสร้างภาพ เพื่อให้สื่อถ่ายรูปเพื่อเป็นข่าว ทั้งถ่ายในโรงพยาบาล นั่งรถโชว์ตัว และล่าสุดถึงขั้นถอดหน้ากากออกหลังกลับทำเนียบขาว เพื่อให้เป็นข่าว ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้เชี่ยวชาญออกมาชี้ว่า ประธานาธิบดี ทรัมป์ ยังมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว และทำให้คนรอบข้างตกอยู่ในอันตราย พร้อมวิเคราะห์ถึงตัวยารักษาที่ทรัมป์ได้รับอาจบ่งชี้ว่าเป็นโรคโควิด-19 นิวมอเนีย (Covid-19 Pneumonia)
NBC News สื่อสหรัฐฯรายงานวันนี้ (6 ต.ค.) ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ เจ.ทรัมป์ ฉวยโอกาสหลังได้รับอนุญาตจากโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด ในรัฐแมร์รีแลนด์ สร้างภาพต่อโลกว่า เป็นผู้ชนะโรคโควิด-19 ด้วยการถอดหน้ากากอนามัยสีขาวโชว์ต่อหน้าสื่อมวลชน ระหว่างหยุดยืนที่เฉลียงทรูแมนหน้าทำเนียบขาวไม่กี่ชั่วโมง หลังผู้นำสหรัฐฯได้กล่าวแสดงความเห็นทางออนไลน์เชิงแนะนำว่า “โรคโควิด-19 ไม่ใช่ภัยคุกคามขั้นร้ายแรงเหมือนที่คนอื่นกังวล”
สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ทรัมป์เดินทางออกจากโรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด หลังจากเวลา 18.30 น.ของวันจันทร์ (5) ก่อนที่จะขึ้นเฮลิคอปเตอร์ประจำตำแหน่งมารีน 1 เพื่อกลับทำเนียบขาว
โจ ไบเดน คู่แข่งทรัมป์แสดงความเห็นถึงการกระทำเพื่อให้ตัวเองได้เป็นข่าวด้วยการถอดหน้ากากโชว์ของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ระหว่างที่มีคนอื่นอยู่ใกล้นั้น “เป็นการส่งสัญญาณที่ผิด” สมควรที่ต้องให้บทเรียนที่สำคัญ หน้ากากถือเป็นสิ่งสำคัญรวมไปถึงการเว้นระยะห่างทางสังคม และแสดงความเห็นว่า ผมหวังว่า จะไม่มีใครเดินจากไปด้วยความคิดที่ว่ามันไม่ใช่ปัญหา แต่นี่มันเป็นปัญหา เป็นภัยระบาดขั้นร้ายแรงระดับโลก เขายังยอมรับกับ NBC News ว่า ไม่ได้มีการยกโทรศัพท์หาทรัมป์ แต่ได้กล่าวอวยพรทางทวิตเตอร์ให้กับประธานาธิบดีสหรัฐฯและสุภาพสตรีหมายเลข 1 เท่านั้น
สื่อสหรัฐฯรายงานว่า ในเวลานี้ ทำเนียบขาวได้กลายเป็นจุดร้อนของการระบาดแห่งใหม่ล่าสุด CNN รายงานว่า โฆษกหญิงผมบลอนด์ประจำทำเนียบขาว เคย์ลีห์ แม็คเคนานี (Kayleigh McEnany) ประกาศเช้าวานนี้ (5 ต.ค) ติดโควิด-19 แล้ว แต่ย้ำว่า ก่อนหน้าได้เคยตรวจซ้ำหลายครั้ง และมีผลการตรวจเป็นลบมาโดยตลอด และไม่มีอาการป่วยให้เห็น
ทั้งนี้ แม็คเคนานีกลายเป็นเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวรายล่าสุดที่ติดเชื้อโควิด-19 สร้างคำถามถึงการแพร่ระบาดของโรคภายในปีกตะวันตกของทำเนียบขาว ซึ่งก่อนหน้าทำเนียบขาวปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า มีเจ้าหน้าที่ประจำทำเนียบมากน้อยเพียงใดที่ติดเชื้อโควิด-19
CNN รายงานว่า โฆษกทำเนียบขาวได้แถลงในวันจันทร์ (5) ว่า เธอจะเริ่มต้นกระบวนการกักตัว ซึ่งหมายความว่า เธอจะไม่พบปะผู้คน ซึ่งนอกจากแม็คเคนานีที่มีผลการติดเชื้อเป็นบวกแล้ว ยังมีผู้ช่วยในทำเนียบขาวอีก 2 คน ที่มีผลการติดเชื้อเป็นบวก
CNN รายงานก่อนหน้าว่า เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวต่างตื่นตระหนก หลังพบว่าทรัมป์และสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐฯ เมลาเนีย ทรัมป์ ติดเชื้อโควิด-19 แหล่งข่าวใกล้ชิดเปิดเผยในวันศุกร์ (2)
แหล่งข่าวกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ซึ่งรับผิดชอบการเสิร์ฟอาหาร ปรุงอาหาร และทำความสะอาดให้กับครอบครัวประธานาธิบดีสหรัฐฯนั้น “อยู่ในความมัดระวัง” แต่ยังคงมีความวิตก
ทั้งนี้ นายแพทย์ วิน กุปตา (Dr.Vin Gupta) ประจำวิทยาลัยการแพทย์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตัน ให้สัมภาษณ์กับ ราเชล แมดโดว์ (Rachel Maddow) โฆษกรายการทาง MSNBC คืนวันจันทร์ (6) วิเคราะห์ถึงยารักษาโรคที่เปิดเผยต่อสาธารณะของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่พบว่า เขาต้องได้รับออกซิเจนจากปัญหาระดับออกซิเจนในเลือดต่ำถึง 2 ครั้ง โดยผู้นำสหรัฐฯได้รับยาเด็กซาเมทาโซน (dexamethasone) และ ยารักษาโรคโควิด-19 ขั้นทดลอง เรมเดซีเวียร์ (remdesivir) กุปตา ซึ่งเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาโรคระบบการหายใจ ชี้ประเด็นใหญ่ถึงปัญหาการหายใจลำบากของทรัมป์ อาจบ่งชี้ว่า เป็นโรคโควิด-19 นิวมอเนีย (Covid-19 Pneumonia)
สอดคล้องกับความเห็นของนายแพทย์ เจ.แรนเดล เคอร์ติส (Dr. J. Randall Curtis) ประจำศูนย์การแพทย์ฮาร์เบอร์วิว (Harborview Medical Center) ในรัฐวอชิงตัน ที่ออกตัวกับสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่นของรัฐวอชิงตัน kiro7 ว่า “ผมยังไม่ได้เห็นฟิล์มเอ็กซเรย์ทรวงอกของเขา” และย้ำว่า “แต่โดยทั่วไปแล้วสำหรับผู้ป่วยโดยส่วนใหญ่ หากว่าพวกเขาต้องการออกซิเจน มันเป็นเพราะว่าเชื้อโควิด-19 ได้เข้ามาอยู่ในปอด และทำให้เกิดโรคนิวมอเนีย (โรคปอดอักเสบ)”
โดยเขาชี้ว่า จากยารักษาโรคที่ถูกประกาศออกมาจากทำเนียบขาว ชี้ได้ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯกำลังมีปัญหาในการหายใจ
“และจากที่ให้ยาเด็กซาเมทาโซน แสดงว่า มีการรักษาอย่างได้ผล” เคอร์ติส กล่าวและเสริมว่า “หากคุณดูที่ผู้ป่วยทั้งหมดซึ่งเข้ารับการรักษาโรคโควิด-19 โดยในกลุ่มที่ไม่จำเป็นต้องได้รับออกซิเจนนั้น ดูเหมือนว่าไม่ได้รับประโยชน์จากยาเด็กซาเมทาโซนตัวนี้ และในความเป็นจริงอาจมีผลร้ายบางส่วน แต่หากว่าพวกเขาต้องการออกซิเจนและมีปัญหากับโรคนิวมอเนีย ดังนั้นแล้วเด็กซาเมทาโซนจะแสดงผลต่อการรักษา”
ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงวัยและการรักษาทางยาประจำนอร์ทเวล เฮลท์ (Northwell Health) ในรัฐนิวยอร์ก แพทย์หญิง มาเรีย ทอร์โรเอลลา คาร์นี (Dr. Maria Torroella Carney) ให้สัมภาษณ์กับสื่อเชี่ยวชาญด้านการแพทย์สหรัฐฯ เฮลท์ไลน์ แสดงความกังวลที่ผู้นำสหรัฐฯต้องการยาเด็กซาเมทาโซน ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณว่า มีการอักเสบเกิดขึ้น หรือมีปัญหาโรคนิวมอเนียในปอด
“นี่เป็นการชี้ได้ว่าไวรัสสร้างระดับการอักเสบ ซึ่งยาสเตียรอยด์ (เด็กซาเมทาโซน) แสดงผลการตอบสนองที่ดี แต่มักจะใช้กับเมื่อมีการอักเสบปรากฏและนั่นทำให้ดิฉันวิตก”
คาร์นี ยังกล่าวต่อว่า ยาทั้งสามประเภทยังไม่เคยใช้ร่วมกันกับผู้ป่วยโควิด-19 มาก่อน โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ได้รับยาตามอาการแต่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดต่อสาธารณะถึงการป่วยที่ชัดเจนของทรัมป์ หรือเมื่อใดกันแน่ที่เขาเริ่มแสดงอาการป่วยให้เห็น
ซึ่งการเดินทางกลับเข้าทำเนียบขาวอย่างเร่งด่วนของทรัมป์ หลังจากที่มีผลการติดเชื้อในวันพฤหัสบดี (1) ยังสร้างความวิตกให้กับนักข่าวที่ได้รับผิดชอบให้ติดตามทรัมป์ เอบีซีนิวส์ รายงาน ซึ่งพบว่า มีนักข่าวประจำทำเนียบขาวติดโควิด-19 ไปแล้ว 3 คน เอบีซีนิวส์ กล่าวว่า นักข่าวต่างสงสัยว่า ทรัมป์ที่ยังคงมีเชื้อไวรัสในตัวอยู่ จะเรียกพวกเขาเพื่อไปทำข่าวและจะมีหลักประกันเพื่อให้มั่นใจด้านสุขภาพได้อย่างไร
การเดินทางออกมาจากโรงพยาบาลอย่างกะทันหันของทรัมป์ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของสหรัฐฯต้องตั้งคำถามถึงปัญหาสุขภาพของผู้นำสหรัฐฯ
NBC News รายงานว่า หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญ กล่าวว่า “ยังคงมีบางสิ่งที่ไม่เชื่อมโยงระหว่างสภาพร่างกายของคุณ และความรู้สึกและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้”
สื่อสหรัฐฯ ชี้ว่า ทรัมป์กลับออกมาจากโรงพยาบาลเร็วจนเกินไปและเขายังคงอยู่ในช่วงเวลาของความเสี่ยงของโรคโควิด-19 อ้างอิงความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ปัจจัยสำคัญของโรคอยู่ในช่วงระหว่าง 7-10 วันนี้ โดย ดร.วิลเลียม ฮาร์ทแมน (Dr. William Hartman) ผู้นำการทดสอบทางคลินิกวิทยาโรคโควิด-19 ประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยวิสคอนซินเฮลท์ เซอร์วิสเซส (University Health Services) แสดงความเห็นว่า ถือไม่เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะต้องการเดินทางกลับบ้านก่อนที่จะเสร็จสิ้นการรักษาด้วยวิธี IV (IV medications)
แต่อย่างไรก็ตาม ฮาร์ทแมน ยอมรับว่า ในกรณีของทรัมป์อาจเป็นสิ่งที่ต้องยกเว้น เนื่องมาจากภายในทำเนียบขาวมีห้องพยาบาลที่มีอุปกรณ์พร้อมเสมือนโรงพยาบาลย่อมๆ อยู่ด้านใน และผู้นำสหรัฐฯ อาจได้รับการรักษาต่อที่นั่นได้
ทั้งนี้ พบว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีกำหนดที่ต้องรับวัคซีนเรมเดซีเวียร์ (remdesivir) โดสที่ 5 และโดสสุดท้ายในวันอังคาร (6) และเขายังคงอยู่ในการรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ในบ่ายวันจันทร์ (5)